หลังจากที่ปล่อยเวอร์ชัน Android O Developer Preview 2 ให้นักพัฒนาได้ทดสอบกันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในงาน Google I/O 2017 ล่าสุด ทาง Google ได้เปิดตัว Android 8.0 หรือ Android O อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อ 21 สิงหาคม 2017 ซึ่งตรงกับวันที่เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาในฝั่งตะวันตกพอดิบพอดี แถมยังเล่นกับปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากได้อย่างน่าสนใจ โดยตรงซึ่งอักษร O นั้น มาจากคำว่า Oreo อย่างที่คาดการณ์กันไว้นั่นเอง
สรุปฟีเจอร์ใหม่บน Android 8.0 (Oreo)
ถ้าหากมองในภาพรวม Android 8.0 (Oreo) จะเน้นปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานเสียมากกว่า ซึ่งจะปรับปรุงในเรื่องของความเสถียร และความเร็วด้านการใช้งานเป็นหลัก โดยสามารถเปิดเครื่องบู๊ตได้เร็วกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าถึง 2 เท่า (ทดสอบกับ Google Pixel) และแอปพลิเคชันที่ทำงานแบบเบื้องหลัง (Background) จะถูกจำกัดการทำงานมากขึ้น ผลที่ได้ก็คือ ทำให้ตัวเครื่องประมวลผลได้เร็วขึ้นกว่าเวอร์ชันเดิมนั่นเอง ส่วนฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจบน Android 8.0 (Oreo) ก็ได้แก่
1. Picture-in-Picture (PIP)
ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับชมวิดีโอได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ อยู่ก็ตาม โดยคลิปวิดีโอดังกล่าวจะถูกย่อขนาด และลอยอยู่บนหน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับชมภาพยนตร์ หรือคลิปวิดีโอต่างๆ ได้แบบไม่ขาดตอน
2. Notification Dots
เป็นระบบการแจ้งเตือนแบบใหม่ ที่จะแจ้งเตือนบนไอคอนแอปฯ นั้นด้วยจุดสี คล้าย ๆ กับบน iOS แต่ต่างกันตรงที่ iOS จะแจ้งเป็นตัวเลข โดยสามารถคลิกเพื่อเข้าไปดูก่อนได้ว่า แอปฯ นั้นมีอัปเดตอะไรใหม่
3. Android Instant Apps
ปกติแล้ว ก่อนจะเริ่มใช้งานแอปพลิเคชันใด ๆ ผู้ใช้จะต้องเข้าไปค้นหาและดาวน์โหลดใน Google Play เสียก่อน แต่สำหรับฟีเจอร์ Android Instant Apps ก็คือ ผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์จากช่องทางที่เพื่อนส่งมา หรือจากเบราว์เซอร์ และเข้าถึงตัวแอปพลิเคชันในหน้านั้นได้เลย คล้าย ๆ กับการเปิดหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันนั้น ๆ ลงในตัวเครื่อง
4. Autofill
ฟีเจอร์ Autofill จะช่วยในการใส่ข้อมูลที่มีความจำเป็นในการล็อกอิน หรือตั้งค่าต่างๆ เช่น Username หรือ Password ให้สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งการใส่ข้อมูลที่มีความสำคัญเช่นนี้ ตัวผู้ใช้อาจมีการใส่ข้อมูลผิดพลาด และต้องเสียเวลาใส่ข้อมูลจนครบทุกช่อง ซึ่งฟีเจอร์ Autofill จะช่วยประหยัดเวลาในการกรอกข้อมูลเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
5. Google Play Protect
เพื่อให้การใช้งานระบบ Android มีความปลอดภัยมากขึ้น บน Android 8.0 (Oreo) ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย นั่นก็คือ Google Play Protect กับการสแกนแอปพลิเคชันทั้งหมดบน Google Play มากกว่า 50 พันล้านแอปฯ ต่อวัน ทำให้มั่นใจได้ว่า แอปพลิเคชันที่กำลังจะดาวน์โหลดนั้น มีความปลอดภัย ไร้มัลแวร์
6. ประหยัดพลังงานมากขึ้น
ปกติแล้ว ปัญหาแบตเตอรี่ไม่เพียงพอต่อการใช้งานในแต่ละวัน คือปัญหาที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่มักจะพบเจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่บน Android 8.0 (Oreo) จะช่วยประมวลผลให้ตัวเครื่องใช้พลังงานที่น้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจำกัดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ทำงานแบบเบื้องหลังนั่นเอง และส่งผลให้ตัวเครื่องมีแบตเตอรี่เหลือเพียงพอที่จะใช้งานได้ตลอดทั้งวัน
7. เพิ่มอีโมจิใหม่มากกว่า 60 แบบ
ด้านการใช้งาน Emoji นั้น ได้ถูกออกแบบใหม่ และเพิ่มของใหม่ให้ใช้งานเพิ่มมากกว่า 60 แบบ เลือกใช้งานได้ตามใจ
อุปกรณ์ใดบ้างรองรับการอัปเดต Android 8.0 (Oreo)
สำหรับสมาร์ทโฟนกลุ่มแรกที่จะได้ใช้งาน Android 8.0 (Oreo) ก่อนใคร นั่นก็คือ อุปกรณ์จาก Google ซึ่งได้แก่ Google Pixel, Google Pixel XL, Nexus 5X, Nexus 6P รวมถึง Pixel C และ Nexus Player ซึ่งคาดว่า จะสามารถปล่อยให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการได้ในเร็ว ๆ นี้
ส่วนผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ซึ่งได้แก่ Essential, General Mobile, HMD Global (Nokia), Huawei, HTC, Kyocera, LG, Motorola, Samsung, Sharp และ Sony (ยังไม่เปิดเผยว่า มีรุ่นใดอัปเดตได้บ้าง) จะสามารถเปิดตัวและปล่อยอัปเดตได้ภายในปลายปีนี้ โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนแบรนด์เหล่านี้ จะต้องรอทางผู้ให้บริการเครือข่าย และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนปรับแต่ง Android 8.0 (Oreo) ให้เข้ากับสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นเสียก่อน และรอการประกาศอัปเดตจากทางผู้ผลิตอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : www.android.com