รวม. ศึกษาธิการให้หนุนโรงเรียนเอกชนแข่งโรงเรียนรัฐ พร้อมให้เงินเดือนย้อนหลังครูเอกชนอีก 4%

             รมว.ศึกษาธิการ หนุนคุณภาพโรงเรียนเอกชน อนุมติขึ้นเงินเดือนครูเอกชน 4 % ย้อนหลังถึง ธ.ค.57 พร้อมเตรียมเทงบประมาณปี 61 พัฒนาโรงเรียนเอกชนแข่งกับโรงเรียนรัฐ
 
             เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2559 พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสวุรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ ตนได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) และสำนักงบประมาณ ในการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชน โดย สช.ได้นำตัวเลขงบประมาณการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนมาเสนอ แต่ตนเห็นว่างบประมาณดังกล่าวยังรวมกันเป็นก้อน ไม่เป็นหมวดหมู่ อีกทั้งข้อมูลที่เสนอมาก็ยังไม่มีความชัดเจน ไม่สมเหตุสมผล และไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียน ตนจึงให้ สช.กลับไปเขียนแผนงบประมาณที่จะใช้พัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้ให้หลักคิดไปว่า การพัฒนาโรงเรียนเอกชนให้มีความเข้มแข็งจะมีปัจจัยด้านใดบ้างที่จะส่งเสริมให้โรงเรียนนั้นๆ มีคุณภาพ  พร้อมกับคำนึงถึงสถานะทางการเงิน และการคลังควบคู่ไปด้วย  เช่น การเพิ่มคุณภาพการศึกษาโรงเรียนเอกชนต้องใช้งบประมาณจำนวนเท่าไหร่  และจะต้องมีการวางแผนเป็นขั้นบันได ซึ่งจะให้เวลาในการดำเนินการเรื่องนี้ 2 เดือน เพื่อนำกลับมาเสนอใหม่และจะได้นำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ทันในปีงบประมาณ 2561
 
             รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  นอกจากนี้ตนยังได้เห็นชอบจัดสรรเงินอุดหนุนในส่วนเงินเดือนครูเพิ่มให้แก่ครูในสถานศึกษาเอกชน ในอัตราร้อยละ 4  ให้เท่ากับที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ขึ้นเงินเดือนแก่ข้าราชการไปเมื่อ พ.ศ. 2557  ซึ่งจะครอบคลุมถึงครูในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน ที่เพิ่งย้ายไปสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ด้วย โดยจะใช้งบประมาณ 670 ล้านบาทต่อปี ครอบคลุมครูเอกชนทั้งระบบประมาณ  140,000 คน โดยเบื้องต้นจะตนขอให้ สช. ไปเกลี่ยงบประมาณของตัวเองในการจัดสรรเงินเดือนเพิ่มให้ครูโรงเรียนเอกชนก่อน หากไม่พอก็ให้ทำเรื่องเสนอขอเพิ่มจากครม. ได้  โดยจะมีผลย้อนหลังไปถึงเดือนธันวาคม 2557 ทั้งนี้การเพิ่มเงินเดือนครูโรงเรียนเอกชนครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราต้องการพัฒนาโรงเรียนเอกชนมีความแข็งแกร่งไปพร้อมกับโรงเรียนรัฐ ขณะเดียวกันได้ยังมอบให้ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ.ไปศึกษารายละเอียดการดำเนินการคูปองการศึกษาด้วย เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพ
 
 

ข่าวและภาพจาก : เดลินิวส์