โฆษก รบ. เผย รัฐบาลประยุกต์หลัก 4H ปลูกฝังเด็กยุคใหม่ ปรับทัศนคติ ดี-เก่ง มีจิตสาธารณะ ขณะที่ปี 59 ผุดโรงเรียนประชารัฐ นำร่อง 1 ตำบล 1 โรงเรียนต้นแบบ พร้อมเล็งประยุกต์ 4H ใช้ระดับมหาวิทยาลัย เพิ่มศักยภาพสู่ตลาดแรงงาน
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 59 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเร่งรัดพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ระยะแรกในปีการศึกษา 2559 โดยจะประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ในช่วงต้นเดือน เม.ย.นี้ เพื่อรวบรวมปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะครูและสถานศึกษา นำไปทบทวน ปรับปรุง แก้ไข สำหรับวางแผนดำเนินการต่อไป
"การจัดกิจกรรม หลังเสร็จสิ้นการเรียนในห้องเรียนของเด็กตามโครงการดังกล่าว ได้เน้นให้เกิดการพัฒนาผู้เรียน สร้างการเรียนรู้ เสริมคุณลักษณะพึงประสงค์ และเพิ่มทักษะชีวิต หรือการพัฒนา 4H คือ ด้านสติปัญญา (Head) ด้านทัศนคติ (Heart) ด้านเรียนรู้และปฏิบัติจริง (Hands) และด้านสุขภาพ (Health) โดยเฉพาะด้านทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมและทักษะชีวิตให้กับเด็กยุคใหม่ ให้เป็นคนดีและเก่งควบคู่กัน โดยในปี 59 ศธ. มีเป้าหมายที่จะขยายการดำเนินงานเป็น 10,669 โรงเรียน และครอบคลุมทั่วประเทศในปี 60" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในปี 59 รัฐบาลยังจะจัดทำโครงการโรงเรียนประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมให้ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมกันพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานและพัฒนาผู้นำ โดย ในระยะแรก มีเป้าหมาย 1 ตำบล 1 โรงเรียนต้นแบบ ทั่วประเทศ รวม 7,424 แห่ง ครอบคลุมระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาจิตสาธารณะเพื่อการบริการชุมชนและสังคม สำหรับด้านอาชีวศึกษา รัฐบาลจะจัดการเรียนรู้ที่ได้ปฏิบัติจริงหรือการศึกษาแบบทวิภาคีอย่างต่อเนื่อง โดยให้สถานประกอบการเข้ามาร่วมวางแผนผลิตกำลังคนและจัดการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ ทำให้ผู้เรียนมีทักษะฝีมือที่สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ และทำงานได้จริงเมื่อจบการศึกษา
"ท่านนายกฯ ปรารภว่า การพัฒนาการศึกษาของไทยมีความชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวะ แต่ในระดับอุดมศึกษายังพบปัญหาคุณลักษณะของบัณฑิตที่จบออกมา โดยผลจากการศึกษาวิจัยเรื่อง ช่องว่างทักษะที่สำคัญในโลกการทำงานของศศินทร์ ร่วมกับจ๊อบไทยดอทคอม และแคเรียร์วีซ่า ระบุว่า นิสิตนักศึกษา 86% ยังไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และยังมี 7 ทักษะที่บัณฑิตจบใหม่ยังขาดอยู่ เช่น ขาดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ การมองประโยชน์ส่วนรวม ความตรงต่อเวลา ความอดทน รวมถึงความสามารถในการสื่อสารที่เป็นระบบ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาระดับอุดมศึกษาอาจให้ความสำคัญกับพัฒนาทักษะชีวิตเหล่านี้น้อยกว่าภาควิชาการ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณานำหลักการ 4H และประชารัฐ ประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนรู้ในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจริงตามผลการวิจัยดังกล่าว กระตุ้นให้นิสิตนักศึกษามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน มีทักษะชีวิตที่สมบูรณ์ เช่น มีความกระตือรือร้น ทำงานได้ทุกบทบาท เป็นมืออาชีพ และสื่อสารเป็น คิดเองได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งแต่เพียงอย่างเดียว" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์