อาชีวะไทย-เกาหลีร่วมจัดทวิวุฒิการศึกษา

               ไทย-เกาหลี จับมือร่วมจัดอาชีวศึกษา เรียนจบรับวุฒิการศึกษา 2 ประเทศ เล็งเริ่มรับเด็กปีการศึกษา 2559 ด้านรองนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ขอไทยเพิ่มจัดสอบ PAT ภาษาเกาหลีให้เด็กไทย
 
               วันนี้ (24 มี.ค.) ที่กระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐเกาหลี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตนได้หารือกับ ดร. ลี จุน ซิค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการเกาหลีใต้ ในการพัฒนาการอาชีวศึกษา ซึ่งเห็นตรงกันว่า จะร่วมกันจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ทั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)ในสาขาที่เกาหลีใต้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เช่น แมคคาทรอนิกส์ อิเล็คทรอนิกส์ เป็นต้น เมื่อเรียนจบจะได้รับวุฒิการศึกษา 2 ใบจากทั้ง 2ประเทศ หรือเรียกว่า "ทวิวุฒิการศึกษา" พร้อมกันนั้นจะมีการแลกเปลี่ยนครู อาจารย์ และนักศึกษา ระหว่างกัน โดยหลังจากนี้จะมีคณะทำงานร่วมมาวิเคราะห์ความสอดคล้องของมาตรฐานสมรรถนะตามหลักสูตรของทั้ง 2 ประเทศ และจัดหลักสูตรให้ได้มาตรฐาน โดยจะเริ่มรับเด็กเข้าเรียนหลักสูตรนี้ภายในปีการศึกษา2559 ทั้งนี้ ผู้เรียนอาจต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าปกติ พร้อมกันนี้จะมีการแลกเปลี่ยนครู อาจารย์และนักศึกษา ระหว่างกันด้วย
 
               "เกาหลียินดีส่งครูอาสาสมัครมาสอนวิชาชีพที่ประเทศไทย โดยให้ฝ่ายไทย ดูแลเงินเดือนเท่าอัตราที่ครูไทยได้รับพร้อมค่าที่พัก ส่วนค่าเดินทางและเงินเดือนส่วนต่างทางเกาหลีจะรับผิดชอบเอง เนื่องจากการเป็นครูที่เกาหลีจะได้รับค่าตอบแทนสูงมาก สาเหตุที่เกาหลี สร้างความร่วมมือด้านการศึกษากับประเทศต่างๆ เพราะอยากแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาการศึกษากับเครือข่ายทั่วโลก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนนานาชาติ และกระตุ้นการศึกษาของโลกโดยรวม" รมว.ศธ.กล่าว
 
               พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ขอให้ไทยช่วยพิจารณาเพิ่มการทดสอบความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ แพต ภาษาเกาหลี ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) จัดสอบวัดความถนัดเพื่อให้เด็กนำคะแนนไปใช้ในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย เนื่องจากพบว่าปัจจุบันมีโรงเรียนในประเทศไทย เปิดสอนภาษาเกาหลี 77โรงเรียนและมีเด็กเรียนภาษาเกาหลีถึง 25,000คน ซึ่งตนก็รับปากว่าจะไปหารือกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) และ สทศ. ในการเพิ่มสอบ PAT ภาษาเกาหลีต่อไป


ข่าวจาก : เดลินิวส์