หัวใจหลักการศึกษา พระบรมราโชวาทที่พ่อ (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ทรงฝากไว้
เนื่องในวันพ่อแห่งชาติที่ถือเป็นอีกวันสำคัญของปวงชนชาวไทยเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ วันนี้พี่ Admission Premium จึงขอน้อมนำพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่าน
(ในหลวงรัชกาลที่ 9) มาเผยแพร่เป็นแนวทางให้แก่น้องๆ น้อมนำมาปรับใช้ในชีวิตให้บรรลุถึงจุดหมายดังที่ฝัน
โดยเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ได้พระราชทานแนวพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการศึกษาที่จะช่วยทำให้บรรลุถึงจุดหมายความว่า…
“ความรู้ที่จะศึกษามีอยู่สามส่วน คือ ความรู้วิชาการ ความรู้ปฏิบัติการ และความคิดอ่านตามเหตุผลความเป็นจริง ซึ่งแต่ละคนควรเรียนรู้ให้ครบเพื่อสามารถนำไปใช้ประกอบกิจการงาน และแก้ปัญหาทั้งปวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ความตอนหนึ่ง ในพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 โดยสามารถนำมาปรับใช้ได้ดังนี้
1. ความรู้วิชาการ
“วิชาความรู้อันพึงประสงค์นั้น ได้แก่ วิชาความรู้ที่ถูกต้อง ชัดเจน แม่นยำ ชำนาญ นำไปใช้การเป็นประโยชน์ได้พอเหมาะพอควร ทันต่อเหตุการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ”
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2523
หากจะเปรียบการศึกษาก็คงจะเปรียบเสมือนการสร้างบ้าน เพราะการวางรากฐานของบ้าน เช่น เสาเข็ม คานพื้นบ้าน เป็นต้น จะทำหน้าที่เป็นรากฐานให้สามารถก่อฝาผนังบ้านขึ้นไปจนถึงหลังคาได้ฉันใด ความรู้เดิมก็เปรียบเสมือนฐานรากให้แก่ความรู้ใหม่ที่จะพัฒนาขึ้นไปฉันนั้น ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งของในหลวงรัชกาลที่ 9
ความรู้วิชาการ หรือการศึกษาทางทฤษฎี จะทำให้น้องๆ มีพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ รู้กรอบหรือแนวทางของการคิดและการปฏิบัติ สามารถที่จะนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการต่อยอดความรู้และความเข้าใจ ถ้าความรู้พื้นฐานดี ก็จะช่วยให้สามารถศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไปได้มาก ในทางกลับกันถ้าความรู้พื้นฐานไม่ดีหรือไม่แข็งแรง การศึกษาที่ระดับสูงขึ้นไปก็จะทำไม่ได้หรือได้น้อย
2. ความรู้ปฏิบัติการ
“การมีความรู้ถนัดทฤษฎีประการเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้บุคคลสามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่ ผู้ที่ฉลาดสามารถในหลักวิชาโดยปกติวิสัยจะได้แต่เพียงชี้นิ้วให้ผู้อื่นทำซึ่งเป็นการไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจทำให้ผู้ใดเชื่อถือหรือเชื่อฟังอย่างสนิทใจได้ เหตุด้วยไม่แน่ใจว่าผู้ชี้นิ้วเองจะรู้จริง ทำได้จริงหรือ ความสำเร็จทั้งสิ้นทำได้เพราะลงมือกระทำ”
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2517
ในด้านความรู้ทางทฤษฎีอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอต่อการรับประกันถึงความสำเร็จ น้องๆ ที่มีความรู้เชิงทฤษฎีจะต้องเรียนรู้ที่จะนำทฤษฎีไปทดลองปฏิบัติจนให้เกิดความคล่องแคล่วชำนาญเสียก่อน การฝึกฝนปฏิบัติจนเชี่ยวชาญนี้จะช่วยทำให้เกิดความรู้อีกส่วนหนึ่งที่เสริมความรู้เชิงทฤษฎีให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้น
3. ความคิดอ่านตามเหตุผลความเป็นจริง
พระองค์ทรงอธิบายเรื่องนี้ว่า
“วิชาการทั้งปวงนั้นถึงจะมีประเภทมากมายเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อนำมาใช้สร้างสรรค์สิ่งใดก็ต้องใช้ด้วยกัน หรือต้องนำมาประยุกต์เข้าด้วยกันเสมอ อย่างกับอาหารที่เรารับประทาน กว่าจะสำเร็จขึ้นมาให้รับประทานได้ ต้องอาศัยวิชาประสมประสานกันหลายอย่างและต้องผ่านการปฏิบัติมากมายหลายอย่างหลายตอน ดังนั้นวิชาต่างๆ มีความสัมพันธ์ถึงกันและมีอุปการะแก่กันทั้งฝ่ายวิทยาศาสตร์และฝ่ายศิลปศาสตร์ ไม่มีวิชาใดที่นำมาใช้ได้โดยลำพัง หรือเฉพาะอย่างได้เลย”
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2521
นั่นจึงหมายความว่า การนำวิชาการสาขาต่าง ๆ เข้ามาประกอบกันเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้สำเร็จเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังที่กล่าวกันว่าเป็นการเรียนและการใช้วิชาการในลักษณะ "สหวิทยาการ (multidiscipline)"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชให้ความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง และทรงเป็นผู้เข้าใจแก่นของการศึกษาอย่างถ่องแท้ ทรงให้ความสำคัญแบบบูรณาการ ทั้งทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานเพื่อเป็นรากฐานรองรับพื้นฐานที่สูงขึ้นไป แต่หากเรียนแค่ทฤษฎีไม่นำไปปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่รู้ทฤษฎีไม่สามารถใช้ได้จริง และทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยการรู้จักคิดอ่านตามเหตุผล รู้จักคิดวิเคราะห์ สะสมความรู้และเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกจนประสบความสำเร็จ ถ้าน้องๆ น้อมนำพระราชบรมราโชวาทแนวคิดของพระองค์มาปรับใช้อาจจะไม่ใช่แค่ด้านการศึกษา แต่รวมถึงด้านหน้าที่การงานด้วย น้องๆ ก็จะบรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ
ขอขอบคุณที่มา
www.nationtv.tv
www.thaihealth.or.th