พี่ AdmissionPremium ไปเจอบทความดีๆ บนเพจ A Day ในหัวข้อที่ชื่อว่า "วันที่ผมกลายเป็นครู" ทำให้พี่นึกถึงน้องๆที่มีใจรัก อยากเป็นคครู ควรจะได้อ่านบทความดีๆ แบบนี้
คุณภัทรดนัย นิลดำ ได้เล่าถึงเรื่องราวของความเป็นครู และการฝึกสอนครู ว่าแล้า เรามาอ่านไปด้วยกันเลย
วันนั้น
ผมกรอกใบยื่นคะแนนแอดมิชชัน 3 อันดับแรกก็เลือกลงสาขาคอมพิวเตอร์ทั้งหมดในต่างมหาวิทยาลัยกันไปแบบไม่ลังเล แต่เพื่อนและแม่ก็ได้เตือนว่า ถ้าพลาดคณะคอมพิวเตอร์ทั้งหมดล่ะ มึงจะทำยังไง วันนั้นผมก็ได้กรอกลำดับที่ 4 ลำดับสุดท้ายลงไปว่า ‘ครูสังคม’
พอประกาศผล ปรากฏว่าเราสอบติดครู เรียน 5 ปี จบมาได้เป็นครูร้อยเปอร์เซ็นต์
.
.
.
วันนั้น
เรานั่งล้อมวงคุยกันเฮฮาประสาเพื่อนใหม่เฟรชชี่ หลายคนพูดอวดความรู้ว่าประเทศใดๆ ในโลกมีความโดดเด่นอย่างนั้นอย่างนี้ กฎหมายไทยควรเป็นยังไง การปกครองเมืองไทยผ่านอะไรมาบ้าง สภาพภูมิประเทศ เศรษฐกิจ ส่งผลต่อกันแบบไหน
เรานั่งมึน พวกมึงพูดอะไรกัน
ในอีกวัน เรานั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ นี่กูมานั่งทำอะไร อาจารย์พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง พออาจารย์ให้เลือกเรื่องมาพรีเซนต์มึงก็พรีเซนต์ได้แบบโง่ๆ จนมีเกรดออกมาบ่งบอกถึงความโง่ของตัวเองหลายตัวเหลือเกิน
พอเราได้ไปลงเรียนวิชาไอทีที่คณะบังคับให้เก็บหน่วยกิตวิชานี้ เราแฮปปี้มาก เราว่าเราเหมาะกับทางนี้ เพื่อนหลายคนขอความช่วยเหลือด้านนี้เราตลอด นี่คือตัวเรา เราอยากย้ายเอก ไปคุยกับคณะ ย้ายไปเทคโนโลยีการศึกษาได้หรือเปล่า ตอนนั้นคณะปฏิเสธเรา ย้ายไม่ได้
.
.
.
วันนั้น
เรากลัวเหลือเกินกับการที่ต้องฝึกสอนในปีสุดท้ายของการเรียนระดับปริญญาตรี การฝึกสอนที่ต้องอยู่ 1 ปีเต็ม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด เพื่อสุดท้ายแล้วต้องไปประกอบอาชีพครูอย่างเต็มตัว กลัวมาก กลัวเด็กรู้เยอะกว่าเรา กลัวที่จะตอบคำถามไม่ได้เวลาเด็กถาม กลัวเด็กลองภูมิ กลัวไปหมด ก็เลยเลือกไปฝึกสอนโรงเรียนประถม
ไม่รู้ว่าวันไหนของการสอนที่เปลี่ยนชีวิตเรา เราพบว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เราสวมวิญญาณของครูแล้วเรามีความสุขจริงๆ เราได้อยู่กับเด็กนักเรียนที่สนุกสนาน ร่าเริง ได้สอนที่อาจจะมากกว่านิสิตฝึกสอนด้วยกันจะสอน งานหนักกว่า บ่นมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายมันกลับเป็นการบ่นที่เหมือนกำลังประกาศให้คนรู้ว่าเราเป็นครูอยู่ที่นี่นะ เรากำลังเดินทางสายครู เรามีลูกศิษย์ที่น่ารักหลายสิบคนเลย อิจฉาเรามั้ย
การฝึกสอนในปีนั้น ทำให้เรารู้สึกว่า การเรียน 4 ปีในมหาวิทยาลัยที่เราทรมานมาตลอด มันมีค่าในปีนี้ ปีสุดท้ายของการเรียน เราอยากเห็นชื่อเราเขียนอยู่บนสมุดวิชาสังคมศึกษาแบบนี้
เราอยากเป็นครู
.
.
.
วันนั้น
เรานั่งทำงานเอกสารของโรงเรียน งานทะเบียน งานสารสนเทศ งานสภานักเรียน กิจกรรมประชาธิปไตย งานห้องสมุด งานอีกมากมายที่ทำให้เราแทบไม่ได้เงยหน้ามามองเด็กนักเรียนในห้องที่ตัวเองเป็นครูประจำชั้น การเข้าสู่อาชีพครูอย่างเต็มตัวนั้น กลับทำให้เราไม่ได้รับความสุขแบบที่เคยคาดหวังเมื่อตอนฝึกสอน
อาชีพครู มันดีกับเราแล้วจริงๆ เหรอ
เป็นเพราะโรงเรียนนี้ไม่พร้อมหรือเปล่า เป็นเพราะมันคือโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดครูมาทำหน้าที่ในงานที่เรากำลังทำอยู่หรือเปล่า เป็นเพราะข้างบนไม่เคยมองมาถึงโรงเรียนที่อยู่ไกลแบบโรงเรียนเราหรือเปล่า
เรามองกลับไปวันที่เราอ่านหนังสือสอบเพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพนี้แบบถวายตัว ความพยายามครั้งนั้น สุดท้ายมันทำให้เราไม่แฮปปี้เหรอ มันพลาดที่ตรงไหนกัน
เราอยากสอบใหม่
ใจนึงก็คิดว่าควรทนกับที่นี่ เด็กนักเรียนรอให้เราสอนอยู่ ความรู้ที่เรามีอาจไม่มากมาย แต่มันก็เพียงพอกับนักเรียนที่นี่นะ
แต่ทุกครั้งที่เดินเข้าห้องประจำชั้น งานเอกสารที่วางกองรออยู่บนโต๊ะทำงาน งานที่ไม่เคยเกี่ยวกับการสอนหนังสือ มันกระตุ้นเราตลอดเวลาเลย
ไปเป็นครูในที่ที่ทำให้เรามีความสุข
.
.
.
วันนี้
หนังสือเล่มเดิมที่เคยพาเราได้สวมชุดกากีอย่างภาคภูมิใจวางอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง รอยยับรอยเดิม ที่คั่นหนังสือยังอยู่ที่เดิม ลายมือเดิมที่เขียนโน้ตสั้นๆ ยังไม่หายไป
ทิ้งความกลัวไปซะ เราต้องไปยืนอยู่อีกที่ที่เรายังไม่เคยไป เราอาจมีความสุขกับที่ใหม่ก็ได้
เราจะไปเป็นครูมัธยม
ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ
คุณภัทรดนัย นิลดำ
อายุ 26 ปี ปัจจุบันเป็นครูประถม สอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านมาบคล้า อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี แต่เทอมหน้ากำลังจะย้ายไปสอนที่โรงเรียนผินแจ่มวิชาสอน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สอนสายมัธยมอย่างที่อยากสอนแล้ว
สามารถติดตาม อาชีพครู และมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนครู ทั้งหมดได้ โดย
คลิกที่นี่