5 แนวคิด ทำไม MBA ถึงดีกว่า CFA
ความแตกต่างระหว่าง MBA และCFA ปริญญาโท MBA จะเน้นในเรื่องประสบการณ์การทำงาน และหลักสูตรการเรียนที่กว้างขวาง ให้ครบทุกด้านของการทำธุรกิจ รวมถึง กลยุทธ์ การตลาด การจัดการ การบัญชี และ การเงิน เน้นถึงการใช้งาน เพราะต้องการให้ผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานแล้ว ใช้ต่อยอดในการทำงานต่อไปได้ ส่วน CFA จะเป็นหลักสูตรสำหรับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ CFA มีเนื้อหา เพื่อมุ่งเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงินอย่างเดียวเท่านั้นโดยส่วนใหญ่แล้วคนจะนิยมเรียนในหลักสูตร MBA มากกว่า อาจเป็นเพราะได้ความรู้ และประสบการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งวันนี้เราก็มี 5 แนวคิดดีๆ ว่าทำไม MBA ถึงดีกว่า CFA
1.ช่วยให้คุณเริ่มงานในแวดวงธุรกิจใหม่ ๆ ได้
ถ้าใครอยากเปลี่ยนสายงาน การไปเรียน MBA พร้อมกับพัฒนาทักษะบางประการ เพิ่มพูนความรู้ในธุรกิจนั้น ๆ ก็จะช่วยให้บริษัทและบริษัทหางานประเมินเราได้ดีขึ้นในการไปเริ่มงาน
2.ทำงานได้หลากหลายวงการ/อุตสาหกรรมมากกว่า
แม้ว่าตอนเรียน เราจะได้เรียนถึงทักษะเฉพาะทางมากกว่า แต่การเรียน MBA นั้นยังมีความรู้พื้นฐานธุรกิจทุกด้านและให้ภาพองค์รวมด้วย วุฒิ MBA จึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเริ่มงานได้ในหลายธุรกิจที่หลากหลายมากกว่า CFA
3.มีสมดุลย์งานและชีวิตส่วนตัวที่ดีกว่า
แน่นอนว่า คนจำนวนหนึ่งเรียน MBA เป็น part-time พร้อมกับทำงานไปด้วย ซึ่งนั้นอาจจะหนักหนา และทำให้ไม่มีเวลา แต่คนที่เรียน CFA ก็เป็นอย่างนี้ตลอด ส่วนคนที่สามารถลาออกมาเรียนเต็มเวลาก็ดูเหมือนว่าจะมีความสุขกับการเรียน เพื่อนใหม่ และชีวิตนักศึกษาอีกครั้งหนึ่ง
4.เป็นที่รู้จัก หรือ “ฮิต” มากกว่า
คนที่รู้จัก CFA ก็เป็นส่วนน้อย คือ บางส่วนในธุรกิจการเงิน ขณะที่ MBA เป็นที่รู้จักและยอมรับกันในวงกว้างมากกว่า ในเกือบทุกวงการธุรกิจอุตสาหกรรม
5.ดีกว่าในการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ และการทดลองใหม่ ๆ
CFA มีเนื้อหาเพื่อมุ่งเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงินอย่างเดียวเท่านั้น ขณะที่ MBA มีเนื้อหาครอบคลุมกว่ามากๆ เป็นโอกาสให้ผู้เรียนสามารถค้นหา ค้นคว้า สิ่งต่างๆ หรือ ทักษะใหม่ๆ ได้
นอกจากจะได้ความรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว MBA ยังให้ทั้งความสนุก การพบเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ในแบบที่เราก็ไม่เคยได้สัมผัส เป็นการเพิ่มโอกาสด้านการทำงานมากขึ้น “เรียนรู้ความล้มเหลวให้เป็นประสบการณ์ และเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นความสำเร็จ”
1.ช่วยให้คุณเริ่มงานในแวดวงธุรกิจใหม่ ๆ ได้
ถ้าใครอยากเปลี่ยนสายงาน การไปเรียน MBA พร้อมกับพัฒนาทักษะบางประการ เพิ่มพูนความรู้ในธุรกิจนั้น ๆ ก็จะช่วยให้บริษัทและบริษัทหางานประเมินเราได้ดีขึ้นในการไปเริ่มงาน
2.ทำงานได้หลากหลายวงการ/อุตสาหกรรมมากกว่า
แม้ว่าตอนเรียน เราจะได้เรียนถึงทักษะเฉพาะทางมากกว่า แต่การเรียน MBA นั้นยังมีความรู้พื้นฐานธุรกิจทุกด้านและให้ภาพองค์รวมด้วย วุฒิ MBA จึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเริ่มงานได้ในหลายธุรกิจที่หลากหลายมากกว่า CFA
3.มีสมดุลย์งานและชีวิตส่วนตัวที่ดีกว่า
แน่นอนว่า คนจำนวนหนึ่งเรียน MBA เป็น part-time พร้อมกับทำงานไปด้วย ซึ่งนั้นอาจจะหนักหนา และทำให้ไม่มีเวลา แต่คนที่เรียน CFA ก็เป็นอย่างนี้ตลอด ส่วนคนที่สามารถลาออกมาเรียนเต็มเวลาก็ดูเหมือนว่าจะมีความสุขกับการเรียน เพื่อนใหม่ และชีวิตนักศึกษาอีกครั้งหนึ่ง
4.เป็นที่รู้จัก หรือ “ฮิต” มากกว่า
คนที่รู้จัก CFA ก็เป็นส่วนน้อย คือ บางส่วนในธุรกิจการเงิน ขณะที่ MBA เป็นที่รู้จักและยอมรับกันในวงกว้างมากกว่า ในเกือบทุกวงการธุรกิจอุตสาหกรรม
5.ดีกว่าในการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ และการทดลองใหม่ ๆ
CFA มีเนื้อหาเพื่อมุ่งเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงินอย่างเดียวเท่านั้น ขณะที่ MBA มีเนื้อหาครอบคลุมกว่ามากๆ เป็นโอกาสให้ผู้เรียนสามารถค้นหา ค้นคว้า สิ่งต่างๆ หรือ ทักษะใหม่ๆ ได้
นอกจากจะได้ความรู้ และประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว MBA ยังให้ทั้งความสนุก การพบเจอเพื่อนใหม่ๆ ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ในแบบที่เราก็ไม่เคยได้สัมผัส เป็นการเพิ่มโอกาสด้านการทำงานมากขึ้น “เรียนรู้ความล้มเหลวให้เป็นประสบการณ์ และเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นความสำเร็จ”