- วิดีโอสอนฟรีใน YouTube
- เข้าร่วมชุมชนผู้เรียนรู้ การมีเพื่อนร่วมทางจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจได้นะ
การฝึกงานในบริษัทเทคโนโลยีหรือการเข้าร่วมในโครงการโอเพ่นซอร์สเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมและเสริมสร้างความมั่นใจในการทำงานจริง คุณจะได้พบกับปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากการฝึกฝนในห้องเรียนหรือออนไลน์ เพราะการแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ คุณยังมีโอกาสเรียนรู้จากเพื่อนร่วมทีมและผู้เชี่ยวชาญในสายงาน เช่น นักพัฒนาซอฟต์แวร์มืออาชีพ หรือวิศวกรระบบที่มีประสบการณ์ การได้รับคำแนะนำและคำติชมตรงจากผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมจะช่วยให้คุณเข้าใจมาตรฐานการทำงาน การเขียนโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบระบบที่ดี
โครงการโอเพ่นซอร์สยังเป็นแหล่งฝึกฝนที่น่าสนใจ เพราะเปิดโอกาสให้คุณมีส่วนร่วมกับชุมชนระดับโลก สามารถทำงานร่วมกับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ เช่น GitHub หรือ GitLab เรียนรู้การจัดการเวอร์ชันของโค้ด การเขียนเอกสารประกอบที่ชัดเจน และการสื่อสารกับผู้มีส่วนร่วมในโครงการจากทั่วโลก
การฝึกงานหรือเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรม แต่ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ในประวัติส่วนตัวของคุณ สร้างเครือข่ายทางวิชาชีพ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดงานในอนาคต
4.พัฒนาทักษะในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
เรียนสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลหรือการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเก่งก็สามารถประสบความสำเร็จได้ มีหลายสาขาที่เน้นทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่เส้นทางอาชีพที่น่าสนใจ เช่น
สาขาเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology):
เน้นการทำงานกับระบบดิจิทัล เช่น การจัดการข้อมูล (Data Management), การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ (Web Development), การสร้างเนื้อหาเชิงมัลติมีเดีย (Multimedia Content Creation) หรือแม้กระทั่งการทำงานด้าน Digital Marketing ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนโลกออนไลน์
การพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application Development):
แม้ว่าอาชีพนี้จะเกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรม แต่ก็มีบทบาทอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น การออกแบบ UI/UX ที่ช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม หรือการทำงานในฐานะ Product Manager ที่ดูแลภาพรวมของการพัฒนาแอปให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
สาขานวัตกรรมและการจัดการ (Innovation and Management):
เป็นสาขาที่เน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในเชิงธุรกิจ เช่น การออกแบบกระบวนการทำงาน (Workflow Design), การจัดการโครงการเทคโนโลยี (Tech Project Management) หรือการวางแผนกลยุทธ์ดิจิทัล
วิทยาการข้อมูล (Data Science):
หากคุณไม่เก่งการเขียนโปรแกรมในระดับลึก คุณยังสามารถเริ่มต้นเรียนรู้พื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การใช้ Excel, Tableau หรือ Power BI เพื่อสร้างภาพรวมของข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
สาขาการออกแบบเชิงโต้ตอบ (Interactive Design):
เหมาะสำหรับคนที่สนใจด้านการออกแบบและการสร้างประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ เช่น การออกแบบเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และสื่อการเรียนรู้ดิจิทัล โดยใช้เครื่องมืออย่าง Figma, Adobe XD หรือ Sketch
สาขาเครือข่ายและความปลอดภัย (Networking and Security):
สำหรับผู้ที่สนใจงานด้านระบบเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยในระบบดิจิทัล เช่น การบริหารระบบเซิร์ฟเวอร์, การตั้งค่าและดูแลเครือข่ายองค์กร, หรือการจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์
5.เรียนรู้จากสิ่งที่ชอบ
เลือกสิ่งที่คุณสนใจและเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณรู้สึกมีความสุขเมื่อทำ เช่น
การออกแบบกราฟิก (Graphic Design):
หากคุณชอบงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ คุณสามารถเริ่มต้นจากการเรียนรู้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น Adobe Photoshop, Illustrator หรือ Canva เพื่อสร้างงานออกแบบ เช่น โปสเตอร์ โลโก้ หรือแบนเนอร์สำหรับสื่อโซเชียล การออกแบบกราฟิกไม่เพียงแค่ใช้ศิลปะ แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องผ่านภาพ (Visual Storytelling) ที่มีความสำคัญในยุคดิจิทัล
การพัฒนาเว็บไซต์ (Web Development):
หากคุณสนใจการสร้างเว็บไซต์ เริ่มต้นได้ด้วยการเรียนรู้ HTML, CSS และ JavaScript สำหรับการออกแบบเว็บไซต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน หรือใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อย่าง WordPress, Wix หรือ Squarespace สำหรับการพัฒนาเว็บไซต์โดยไม่ต้องเขียนโค้ดมากนัก
การสร้างสื่อมัลติมีเดีย (Multimedia Content Creation):
สำหรับผู้ที่ชอบงานที่ผสมผสานระหว่างเสียง ภาพ และวิดีโอ คุณสามารถเรียนรู้การตัดต่อวิดีโอด้วยโปรแกรมอย่าง Adobe Premiere Pro, Final Cut Pro หรือ DaVinci Resolve นอกจากนี้ การสร้างแอนิเมชันด้วย After Effects ก็เป็นอีกทักษะที่ได้รับความนิยม
การทำงานด้านเกม (Game Development):
ถ้าคุณชอบเล่นเกม คุณสามารถเริ่มต้นเรียนรู้การออกแบบเกม (Game Design) หรือการพัฒนาเกมด้วยเครื่องมืออย่าง Unity หรือ Unreal Engine ซึ่งมีทั้งแบบที่ต้องใช้โปรแกรมมิ่งและไม่ต้องเขียนโปรแกรม
การเขียนและการเล่าเรื่อง (Creative Writing):
หากคุณสนใจการสร้างเนื้อหา เช่น การเขียนบทความ การเล่าเรื่อง (Storytelling) หรือการทำ Content Marketing คุณสามารถเริ่มจากการเขียนบล็อกส่วนตัวหรือสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Medium หรือ LinkedIn
การพัฒนาแอปพลิเคชัน (App Development):
สำหรับผู้ที่อยากพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือแต่ไม่ชอบการเขียนโปรแกรมหนัก ๆ สามารถใช้แพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือ Low-Code/No-Code เช่น Glide, Adalo หรือ Bubble
6.พัฒนาตัวเองต่อเนื่อง
อย่ายอมแพ้! การพัฒนาทักษะเขียนโปรแกรมหรือทักษะใด ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลลัพธ์ของความพยายามและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอหรือหากคุณไม่มั่นใจในการเขียนโปรแกรม แต่มุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจ คุณอาจลองเปิดธุรกิจในด้านเทคโนโลยี โดยอาจจะร่วมกับผู้ที่มีทักษะการเขียนโปรแกรมหรือผู้ที่มีทักษะการพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นเพื่อนรวมธุรกิจก็ได้
สรุป
แม้คุณจะรู้สึกว่า "เขียนโปรแกรมไม่เก่ง" แต่มีหลายทางเลือกที่สามารถพัฒนาและต่อยอดได้ อาจจะเริ่มจากการฝึกฝนเพิ่มเติมในสายงานที่เกี่ยวข้อง หรือเลือกอาชีพในสายเทคโนโลยีที่ไม่ต้องการทักษะการเขียนโปรแกรมมากนัก สำคัญที่สุดคือการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและไม่ยอมแพ้