สถานการณ์ของอุตสาหกรรมเรือสำราญทั่วโลก สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. อุตสาหกรรมเรือสำราญในทุกภูมิภาคเติบโต
โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย การท่องเที่ยวเรือสำราญมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวเรือสำราญตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 จนถึงปัจจุบัน พบว่าจำนวนนักท่องเรือสำราญมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาค โดยเกินครึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอเมริกา รองลงมาเป็นกลุ่มยุโรป และมีการคาดการณ์แนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต แม้ว่าจะเผชิญกับวิกฤติและปัจจัยต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือแม้แต่อุบัติเหตุจากเรือสำราญ
แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเรือสำราญในทวีปเอเชียมีจำนวนไม่มากนักหากเปรียบเทียบกับภูมิภาคหลักอื่นๆ หากพิจารณาอัตราการเจริญเติบโตพบว่ามีการเติบโตอย่างรวดเร็วและน่าสนใจ จากข้อมูลของ PATA (2010) และ CLIA (2014) พบว่าในปี ค.ศ. 2010 สัดส่วนจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางมาท่องเที่ยวโดยเรือสำราญมีเพียงแค่ร้อยละ 2.4 และเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยละ 3.3 และ 4.4 ในปี ค.ศ. 2013 และ 2014 ตามลำดับ
แสดงให้เห็นศักยภาพของภูมิภาคเอเชียต่ออุตสาหกรรมเรือสำราญ เหตุผลหลักๆ ที่ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น คือ ท่าเรือที่มีความหลากหลายครอบคลุมในหลายพื้นที่ สินค้าทางการท่องเที่ยวของแต่ละท่าเรือมีลักษณะเฉพาะ ฤดูกาลล่องเรือที่สามารถล่องเรือได้ตลอดปี ความคุ้มค่าของเงิน ความน่าสนใจของเส้นทางการล่องเรือระยะทางระหว่างท่าเรือที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้หลายสายการเดินเรือทุกขนาดได้นำเรือเข้ามาวิ่งในแถบเอเชียมากขึ้น
2. เรือสำราญขนาดใหญ่ขึ้น และค่าตั๋วราคาลดลง
ขนาดของเรือสำราญเป็นประเด็นที่น่าสนใจและส่งผลต่อการจัดการท่าเรือมากที่สุด ในอดีตเรือสำราญที่ให้บริการเป็นเรือขนาดเล็กบรรจุผู้โดยสารประมาณ 100-200 คน โดยเน้นการตกแต่งที่หรูหรา ความสะดวกสบาย การบริการ จำนวนคนไม่เยอะ กำหนดราคาสูง ต่อมาเมื่อเรือสำราญเป็นที่รู้จักมากขึ้น สายการเดินเรือเริ่มขยายฐานลูกค้าเป้าหมายจากกลุ่มผู้สูงอายุไปยังกลุ่มที่หลากหลายดังที่กล่าวมาข้างต้น ขนาดของเรือสำราญเริ่มเปลี่ยนแปลงให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากขึ้น และมีราคาลดลงเพื่อสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายใหม่
ทำให้ขนาดของเรือมีการพัฒนาให้ใหญ่มากขึ้น จาก 100-200 คน เป็น 1,000-2,000 คน จนปัจจุบันมีเรือขนาด 3,000-4,000 คน จำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้อยู่ภายใต้บริษัท Royal Caribbean International ชื่อเรือ Oasis of the Seas และ Allure of the Seas ซึ่งเป็นเรือพี่เรือน้องมีขนาด 225,282 ตันกรอสส์ รองรับผู้โดยสารได้ทั้งสิ้น 5,400 คนและลูกเรืออีก 2,000 คน และมีแนวโน้มว่าขนาดของเรือจะใหญ่มากขึ้นในอนาคต
3. กลุ่มลูกค้าเรือสำราญมีความหลากหลายมากขึ้น
สายการเดินเรือมองว่ากลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักมีขนาดเล็กเกินไปในการขยายฐานธุรกิจ โดยมุ่งทำการตลาดไปยังกลุ่มใหม่คือกลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ ดังนั้น สายการเดินเรือต่างๆ จึงกำหนดกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เช่น การสร้างเรือขนาดใหญ่มากขึ้น
การพัฒนากิจกรรมและสาธารณูปโภคพื้นฐานบนเรือ การกำหนดเส้นทางการเดินเรือที่หลากหลาย จำนวนวันในการล่องเรือสั้นลง ราคาสำหรับการล่องเรือให้สอดคล้องและเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า สำหรับตลาดเรือสำราญในเอเชีย สายการเดินเรือได้พยายามเจาะตลาดกลุ่มใหม่ ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวชาวจีนและอินเดียเป็นกลุ่มหลัก เพราะมีจำนวนประชากรเยอะ และมีศักยภาพในการล่องเรือ
โดยพฤติกรรมการเดินทางของกลุ่มนี้จะเน้นการเดินทางกับครอบครัวเป็นหมู่คณะ ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มยุโรปหรืออเมริกา นักท่องเที่ยวเอเชียนิยมล่องเรือในระยะเวลาสั้นระหว่าง 3-7 วัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ให้ความสำคัญกับท่าเรือแวะพักที่น่าสนใจ
4. ความต้องการท่าเรือเพิ่มขึ้น
เมื่ออุตสาหกรรมเรือสำราญเติบโตมากขึ้นภายใต้การแข่งขันที่รุนแรง สายการเดินเรือได้กำหนดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน หนึ่งในนั้นคือการคัดเลือกท่าเรือเพื่อกำหนดเส้นทางการเดินเรือ เพราะเส้นทางการเดินเรือที่ออกแบบให้น่าสนใจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ตัดสินใจล่องเรือ
ดังนั้น ท่าเรือที่มีลักษณะเฉพาะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย มีกิจกรรมการท่องเที่ยวหลากหลาย มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จัก ชื่อเสียงของตัวท่าเรือ ความปลอดภัยและความสะอาด ฤดูกาล ระยะทางไม่ไกลเกินไประหว่างท่าเรือ ซึ่งไม่ควรจะไกลกว่า 200 ไมล์ทะเล และบริการอื่นๆ ที่เรือสำราญต้องการ แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ ศักยภาพและความพร้อมของตัวท่าเรือ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการรองรับเรือสำราญมีสาธารณูปโภคที่จำเป็นพร้อม มีโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยในการพิจารณาในการคัดเลือกท่าเรือของสายการเดินเรือในปัจจุบัน
5. ความปลอดภัยยังเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ในการพิจารณาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเรือสำราญซึ่งการเดินทางส่วนใหญ่อยู่ในทะเลหรือแม่น้ำ และมีความเสี่ยงจากผลกระทบอื่นๆ และส่งผลต่อภาพลักษณ์เรื่องความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเรือสำราญ เช่น อุบัติเหตุของเรือสำราญ Costa Concodia เป็นเหตุให้ผู้โดยสารเรือเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ไฟไหม้ในเรือสำราญ Insignia เป็นเหตุให้ผู้โดยสารเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง หรือไฟไหม้เรือ Grandeur of the Seas แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต อีกทั้งโรคซารส์ และไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ H5N1 โรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร (Noro-Virus) ที่เกิดขึ้นในเรือสำราญ หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น พายุ แผ่นดินไหว สึนามิ รวมไปถึงภัยจากโจรสลัด
เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางล่องเรือทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสายการเดินเรือจึงให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับสูงสุด เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความไว้วางใจในสินค้าของตนเอง ด้วยเหตุนี้การจัดการท่าเรือจึงต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องหลักเช่นเดียวกัน โดยท่าเรือต้องได้รับการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ระดับนานาชาติเรื่องความปลอดภัยของเรือและท่าเรือ หรือที่เรียกว่า International Ship and Port Facility Security Code:ISPS Code
ที่มา :
ms.src.ku.ac.th
www.bangkokbiznews.com
www.bbc.com
transportation2559.blogspot.com