รีวิวการล่องเรือสำราญ ROYAL CARIBBEAN โดย HOLIDAY IN THE CRUISE
ถ้าพูดถึงการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ คำถามยอดฮิตของหลายๆ คนก็คือ อยู่บนเรืออาทิตย์นึงเบื่อแย่ วันๆ มองแต่ทะเลอยู่ไปได้อย่างไร ไปเที่ยวอาทิตย์นึงได้ลงจากเรือบ้างหรือเปล่า? วันนี้เราจะมาไล่เรียงกันว่า การเที่ยวเรือสำราญกับเรือสำราญ Royal Caribbean มันเป็นอย่างไร บอกได้เลยว่าคนที่ไปขึ้นแล้วหนึ่งครั้งจะอยากไปอีก เพราะว่ามันเที่ยวสบาย นอนตื่นมา ทานอาหาร ลงไปเที่ยว กลับมานอน ตื่นขึ้นมาอีกเมืองหนึ่ง เที่ยวต่อได้เลย
รู้จักกับ Royal Caribbean
Royal Caribbean Cruise Ltd. นั้นเป็นเรือสำราญสัญชาติอเมริกัน มีแบรนด์ภายใต้การกำกับดูแลของเค้าคือ Royal Caribbean International , Celebrity Cruises และ Azamara Club Cruises มีเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกในกำกับดูแล อยู่ในชั้น Oasis Class เช่น Harmony of the seas และ Symphony of the seas ซึ่งวิ่งให้บริการอยู่ในเส้นทางยุโรปและ อเมริกา โดย Royal Caribbean มีเรือให้บริการอยู่ทั่วโลก 26 ลำ ประจำอยู่เส้นทางต่างๆ มีขนาดต่างๆกัน และสิ่ง อำนวยความสะดวกที่ต่างๆกัน ความจุผู้โดยสาร ตั้งแต่ 2,020 คน เรื่อยไปจนถึง 6780 คน ในเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Symphony of the seas เรียกว่าเป็นเมืองขนาดย่อมๆลอยน้ำเลยทีเดียว
ข้อดีของการล่องเรือสำราญ คือการเที่ยวได้หลายเมืองในทริปเดียว
ในทริปยุโรปนั้น อย่างต่ำก็ไปได้ 5-6 เมืองต่อ 1 ทริป เส้น Asia บาง เส้นนั้น ออกจาก เซี่ยงไฮ้ ไปเกาหลี ไปญี่ปุ่น แล้ววกกลับมาจบที่เซี่ยงไฮ้ ทริปเดียว เที่ยวได้ 3 ประเทศ การเที่ยวทางบกปกติจะลำบากมาก ต้องต่อเครื่องบินกันถึง 3 ต่อเลยทีเดียว แต่ทางเรือสำราญนั้น นอนตื่น ขึ้นมาก็ไปถึงอีกประเทศหนึ่งแล้ว ทำให้การไปเรือสำราญครั้งหนึ่งเที่ยวได้คุ้มค่าและสบายสุดๆ ไม่ต้องเก็บกระเป๋า
ปกติการไปเที่ยว 5 - 6 เมืองนั้น นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ต้อง เก็บประเป๋าย้ายโรงแรมทุกเช้า ซึ่งเหนื่อยมาก ถ้าใครไปกับครอบครัวใหญ่จะรู้เลย กิจกรรมมากมายมหาศาล การอยู่บนเรือนั้น เรือของ Royal Caribbean นั้นจะมี กิจกรรมแบบจัดหนัก จัดเต็ม ให้เรียกว่าไม่นอนก็มีกิจกรรมให้ทำตลอดเวลา ไม่มีเบื่อ แน่นอน ซึ่งกิจกรรมแต่ละอันนั้น จะกระจายกันออกไปในแต่ละส่วนของลำเรือ ทำให้คนไม่มาแน่นที่ใดที่หนึ่งมากนัก ทำให้เราทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
Royal Caribbean ต่างกับเรือสำราญเจ้าอื่นตรงไหน?
ด้วยความเป็นอเมริกันของ Royal Caribbean ก็ทำให้เรือของเค้ามีความสดชื่นรื่นเริงมากกว่าเรือสัญชาติ อื่นๆ ทั้งความใหญ่โต โชว์อลังการ อาหารจัดเต็มกว่า ก็มีกิจกรรมนู่นนี่ให้ทำตลอดเวลา ในขณะที่เรือสายอื่นอาจจะมีเรือที่ขนาดย่อมลง และบรรยากาศที่เงียบสงบกว่า ก็จะให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป
Royal Caribbean มีเส้นทางเรียกได้ว่าทั่วโลก ทั้งจาก เอเชีย ยุโรป อเมริกากลาง อเมริกาใต้ อลาสก้า ตะวันออกกลาง ปีหนึ่งๆมีเส้นทางให้เลือก ประมาณ 1,000 เส้นทางได้ เส้นทางเรือสำราญที่คนไทยนิยมกันไปบ่อยๆ 4 อันดับ ประกอบด้วย
อันดับ 4 อลาสก้า
(Alaska) เส้นทางอลาสก้านั้น เป็นเส้นทางที่สวยมากๆ และการเดิน ทางทางเรือเท่านั้น ที่จะพาให้เราได้ไปพบกับภูเขาน้ำแข็งกลางทะเล และจอดในเมืองท่าสำคัญต่างๆ ของอลาสก้า ซึ่งฤดูท่องเที่ยวของเส้นอลาสก้านั้น จะเป็นช่วงฤดูร้อน คือช่วง พฤษภาคม-กันยายน ของ ทุกปี นอกฤดูนั้นจะเป็นช่วงที่มีอากาศค่อนข้างหนาว จึงไม่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวอลาสก้า ช่วง พฤษภาคม-กันยายน จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด
อันดับ 3 ยุโรปตะวันออก
เส้นทางยุโรปตะวันออกของ รอยัล แคริเบียนนั้น จะเริ่มจาก ประเทศอิตาลี่ โดยจะเดินทางไปจากเมือง เวนิส Venice ล่องไปทางตะวันออกของประเทศ ได้แก่ โครเอเชีย กรีซ มอนเตเนโกร เรื่อยไปจนถึง ตุรกี ซึ่ง เมืองเหล่านี้ก็จะมีที่ๆ คนไทยชอบไปมาก แต่ไปทางบกได้ยาก อย่างกรุง Athens ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอารยธรรมกรีก เกาะ Santorini เกาะหมู่บ้านสีขาวของประเทศกรีซ เมืองนี้คงไม่ต้องบรรยายมากสำหรับนักเดินทาง ชาวไทย เมือง Dubrovnic ของประเทศโครเอเชีย ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรียส์สุดฮิต Game of Throne เป็นฉากของ เมือง King’s Landing นั่นเอง
อันดับ 2 ยุโรปตะวันตก
ทริปนี้คนไทยจะนิยมขึ้นเรือสำราญจากเมืองท่า สองแห่ง ได้แก่ เมือง Barcelona ของประเทศ สเปน และเมือง Rome ของประเทศอิตาลี ทั้งสองเมืองนี้จะมีเมืองท่าให้พวกเราได้จอดและ ลงเที่ยวที่โด่งดังได้แก่ และ Mallorca มายอก้า เที่ยวชมเมืองเก่า ถ้ำมังกร Drac Cave - Marseille มาร์กเซย ไปเยี่ยมชมโบสถ์ notre dame de la garde อันเป็นจุดชมวิวสูงสุดของเมือง หรือเลือกช้อปปิ้งภายในตัวเมืองด้วยก็ได้ Nice นีซ และเราสามารถไปเที่ยวต่อที่ Monte Carlo ได้อีกด้วย La spezia ลาสเปเซีย ซึ่งท่านสามาถ ไปเที่ยว ต่อได้ยังเมือง Florence หรือไปเที่ยวต่อที่เมือง 5 หมู่บ้าน Cinque Terre ซิงเกว์ เทเร่ ได้อีกนั่นเอง Naple หรือ ที่คนไทยเรียกว่า นาโปลี นั่นเอง มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย สามารถนั่งรถต่อไปที่เมือง Pompeii ปอมเปอีย์ เมืองที่เรารู้จักกันดี ว่าเคยโดนภัยพิบัติภูเขาไฟถล่มเมื่อสมัยนานมาแล้ว และสามารถเข้าชมพิพิธภัณท์ที่เก็บรักษาโบราณวัตถุที่น่าทึ่งอีกหลายชิ้น และอีกหลายๆเมืองระหว่างทาง
อันดับที่ 1 เอเชีย
ก็จะมีที่ขึ้นเรือ ของ Royal Caribbean อยู่หลายแห่ง ได้แก่
ประเทศจีน (China) ที่ประเทศจีนนั้น จะมีท่า ใหญ่ๆอยู่ก็คือ เมืองเทียนจิน Tianjin และเมืองเซี่ยงไฮ้ Shanghai ซึ่งทั้งสองเมืองนี้นั้น เส้นทางจะมุ่งหน้าพาท่านเที่ยวไป ที่ประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น ไปทางเส้นนี้ก็คุ้มค่ามาก เที่ยว 1 ได้ถึง 3 ก็คือขึ้นเรือครั้งเดียว ได้ไปทั้ง จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งการท่องเที่ยวปกติคงเป็นไปได้ยากทีเดียวที่จะทำไห้ได้ครบแบบนี้
Hongkong เส้นทางที่ออกจากฮ่องกงนั้นส่วนใหญ่จะวิ่งไปทางแถบไต้หวัน หรือว่าบางทีก็อาจจะล่องไป ทางโอกินาว่าของประเทศญี่ปุ่น แล้วแต่ว่าจะเป็นช่วงไหน เส้นนี้ก็เป็นอีกเส้นหนึ่งที่ตอนนี้คนไทยเริ่มไปกัน มากขึ้น Singapore การขึ้นเรือที่สิงคโปร์นั้น จะเป็นเส้นทางพาท่านไปล่องเรือทางแถบมาเลเซีย และบางเส้นอาจต่อ มาถึงภูเก็ต บางครั้งก็มีมาถึงแหลมฉบัง และวิ่งต่อไปถึงเวียดนามด้วยเหมือนกัน เนื่องด้วยที่ว่าเดินทางจากไทยไปได้สะดวก และเส้นทางไม่ยาวจนเกินไป จึงเป็นเส้นทางอันดับ 1 ของลูกค้าคนไทยที่ไปขึ้นเรือ Cruise เลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ยังมีเส้นทางอื่นๆ อีกทั่วโลกอีกเช่นกัน เช่น ตะวันออกกลาง สแกนดิเนเวีย ทริปล่องเรือรอบโลก บริการอีกด้วย
การจอง
การจองเรือนั้น ฝรั่งนิยมจองเรือกันข้ามปี แต่ว่าเมืองไทยนั้นสวนใหญ่จะชอบจองไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ราคาสูง การจองตั๋วของเรือนั้นจะคล้ายๆกับตั๋วเครื่องบิน คือมีการแบ่งเป็นคลาสต่างๆ เช่น V3,V2,V1 E3,E2,E1 หากเราจองเร็ว เราก็จะได้คลาสที่ถูกกว่า ในลักษณะภายในห้องที่ เหมือนกัน ทุกประการ เปรียบเสมือนที่นั่งบนเครื่องบิน ที่เก้าอี้ก็เหมือนกัน แต่ทำไมคนนั่งข้างๆเราซื้อมาหมื่นเดียว แต่เราต้องจ่ายตั้งหมื่นสองนั่นคือคลาสของราคาตั๋ว ที่คนที่มาก่อน ย่อมได้คลาสตั๋วราคาถูกไปก่อน และเนื่องจากเรือของ Royal Caribbean ทั้ง 26 ลำนั้นแต่ละปีมีเส้นทางกว่า 700 เส้นทาง
การจองนั้นจึงควรเรียงลำดับว่า อยากเดินทางเส้นทางใด เอเชีย ยุโรป อเมริกา อลาสก้า อยากเดินทางช่วงไหนของปี หลังจากได้ข้อ 1-2 แล้ว Holiday in the cruise ก็จะสามารถหาเส้นทางทีเหมาะสมที่สุดให้กับท่านได้จาก ระบบหลังบ้านของเรา
เพียงส่งหน้าพาสปอร์ท ที่มีอายุการเดินทางเหลือนับจากวันเดินทางเกิน 6 เดือนมาที่ Holiday In The Cruise ราคาเด็กและเตียงเสริมเป็นอย่างไร หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่มีความสับสนกับการเดินทางทางเครื่องบิน และการจองห้องพักในโรงแรม เนื่องจาก สำหรับเครื่องบินนั้นอาจมีตั๋ว Infant สำหรับทารก หรือตั๋ว Child สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี แต่เรือสำราญของ Royal Caribbean นั้นไม่เป็นอย่างนั้น เด็กที่จะขึ้นเรือนั้นอายุต้องไม่ต่ำกว่า 6 เดือนบริบูรณ์ในวันที่ขึ้นเรือ เป็นข้อกำหนดขั้นแรก
ตั๋วของเรือ ปกติแล้วจะเป็นห้องพักแบบ 2 คน ซึ่งจะมีห้องบางชนิดที่สามารถนอนได้ 3-4 คน เหมือนกัน โดยจะมีเตียงเสริมในห้องนอนไว้ให้ ทั้งนี้ จะต่างกันกับในโรงแรมที่เตียงเสริม จะถูกนำมาจาก ข้างนอก และเอามาวางไว้ในห้องพัก แต่ว่าเตียงเสริมในเรือสำราญนี้ จะเป็นเตียงที่ถูกติดตั้งเอาไว้ถาวรในรูปแบบ เตียงที่ดึงลงมาจากเพดานทำให้เกิดเป็นเตียง 2 ชั้น หรือ เตียงที่มาจากการปรับโซฟาเป็น Sofa Bed ซึ่งสองรูปแบบนี้จะต้องเป็นห้องที่มีเตียงเสริมติดตั้งอยู่แล้วเท่านั้น ไม่สามารถนำห้องธรรมดามาเสริม เตียงได้
ทั้งนี้ แขกท่านที่ 3 และ 4 ที่นอนเตียงเสริม จะได้รับราคาพิเศษ อาจจะเรียกได้ว่าเกือบครึ่งของราคาตั๋วปกติเลยก็ว่าได้ โดยที่จะไม่เกี่ยงว่า แขก ท่านที่ 3 และ 4 นั้นจะอายุเท่าไร ดังนั้นปกติแล้ว เด็กจะได้รับราคาของแขกนอนเตียงเสริมนั่นเอง แต่นั่นหมายถึงว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่อายุ 50 หาก นอนเตียงเสริมแล้ว ก็จะได้รับสิทธินี้เหมือนกัน
มีคำถามที่ว่าเด็กเล็กมากไม่ต้องนอน เตียงเสริมได้ไหมแต่ให้นอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ คำตอบคือ จำนวนแขกในห้องนั้น หากมีคนที่ 3 หรือ 4 เข้า มา หากอายุเกิน 6 เดือนขึ้นไป จำเป็นต้องจอง ห้องที่มีเตียงเสริมอยู่ในโครงสร้างด้วย มิเช่นนั้น จะไม่สามารถใส่ชื่อผู้โดยสารเข้าไปได้ และ แม้ว่าเด็กจะนอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ แต่ทางเรือก็จะคิดค่าเรือเป็นแขกท่านที่ 3 ในราคาพิเศษอยู่ดี
การเลือกชนิดห้อง ห้องในเรือนั้นจะแบ่งเป็นใหญ่ๆ ได้ 4 ชนิด ได้แก่
1. Interior Stateroom.
เป็นห้องที่มีราคาน่าคบหาที่สุด เนื่องจากไม่แพง ขนาดห้องนั้นเล็กกว่าห้อง Ocean View Stateroom และ Balcony Stateroom นิดเดียว แต่เป็นห้องที่อยู่ฝั่งในของตัวเรือ จึงไม่มีหน้าต่างให้เห็นวิว ด้านนอก แต่ทั้งนี้เรือลำใหม่ๆบางลำ มี Virtual Balcony ซึ่งจะมีจอทีวีพิเศษที่ฉายภาพทะเลด้านนอก เข้ามาเสมือนหนึ่งเป็นระเบียงของจริงเลยทีเดียว ก็จะทำให้ห้องมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น
2. Ocean View Stateroom
เป็นห้องพักที่จะมีหน้าต่างมองเห็นข้างนอกลำเรือได้ เราจะสามารถเห็นวิวทะเลได้อย่างชัดเจน แต่ว่าหน้าต่างนั้นจะเปิดออกมาไม่ได้ ชมวิวได้อย่างเดียว นอกจากนั้นทุกอย่างในห้องก็เหมือนกับห้อง Interior แบบแทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีดียว
3. Ocean View Stateroom with Balcony
หรือห้องที่เราจะเรียกกันในชื่อว่าห้อง Balcony นั่นเอง เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกนิดนึง และจะมีระเบียงสามารถเดินออกมาสูดลมทะเลภายนอกห้องได้ ห้องชนิดนี้จะเป็นห้องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในลำเรือ เนื่องจากความโอ่โถง และสามารถเปิดรับอากาศจากภายนอกได้อย่างเต็มที่
4. ห้อง Suite ชนิดต่างๆ
ห้อง Suite นั้น จะเป็นห้องที่แบ่งเป็นหลายระดับมากที่สุดเลย มีทั้ง Junior Suite, Family Suite, Grand Suite, Royal Family Suite, Owner Suite, Royal Loft Suite
ซึ่งห้องแต่ละชนิดก็จะมีความ หรูหราต่างๆกันไป ซึ่งนักเดินทางห้อง Suite นั้น ก็จะมีสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นจากลูกค้าห้องปกติอีกด้วย เช่น การ Check in ที่มีช่องทางพิเศษ, ห้องอาหารพิเศษที่ห้อง Coastal Kitchen, Bar พิเศษสำหรับลูกค้าบัตร ทอง ( Gold Card ) โซนอาบแดดพิเศษ และส่วนลดต่างๆที่มีให้เมื่อมีการใช้จ่ายในเรือ และแน่นอน จาก ประสบการณ์ที่ได้บริการลูกค้าของ Holiday In The Cruise มานั้น ห้อง Suite จะเป็นห้องชนิดที่เต็มเร็วที่สุด ของเรือเช่นกัน ซึ่งห้องที่สูงที่สุดของเรือ อาจจะมีมูลค่าสูงถึง 10 เท่าของราคาห้องธรรมดาเลยทีเดียว
การลงกลางทาง
ในบางเส้นทางนั้น ผู้เดินทางสามารถที่จะลงเรือก่อนถึงท่าเรือสุดท้ายได้ โดยที่จะต้องแจ้งความ จำนงกับ Holiday In The Cruise ไว้ก่อนด้วยนะ เพราะว่าต้องมีการจัดการเรื่องพิธีการตรวจคนเข้าเมือง แต่ถึงอย่างไรนั้น การลงก่อนไม่ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงแต่อย่างใด เรายังจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเต็ม เส้นทางอยู่ดี
มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมบ้างไหม?
โดยปกตินั้น ค่าใช้จ่ายบนเรือนั้น จะรวม บริการระดับ Basic ไว้ทุกอย่างแล้ว อาหารการกิน เครื่องดื่ม การดูโชว์ กิจกรรม ในร่ม กิจกรรมกลางแจ้ง จะไม่ต้องเสียค่าใช้ จ่ายเพิ่ม สิ่งที่ผู้เดินทางต้องจ่ายเพิ่มด้วยตัว เองนอกเหนือจากค่าเรือนั้นจะมี เช่น ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การจับจ่ายซื้อของและบริการต่างๆ ในร้านค้าบนเรือ การซื้อทัวร์ลงเที่ยวเมืองท่าต่างๆ คาสิโน มินิบาร์ ร้านอาหารพิเศษบางร้าน
หลายๆท่านคิดว่าการเดินทางไปเที่ยวกับเรือสำราญเป็นเวลา 7 คืนนั้น หมายความว่าเราอยู่บนเรือ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย แต่จริงๆแล้ว การเที่ยวเรือสำราญของทุกๆค่าย และ รอยัลแคริเบียน เองนั้น มีการจอดท่าเรือเพื่อลงเที่ยวเมืองต่างๆ เกือบจะทุกวันของการเดินทาง เรืออาจจะเทียบท่าเวลา 8.00 น. เพื่อลงเที่ยวเมือง ฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และออกเรืออีกทีเวลา 20.00 น. เพื่อเดินทางไปเที่ยวยังเมืองต่อ ไป แต่ละวันเรามีเวลาเที่ยวในเมืองท่าต่างๆกว่า 9-12 ชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาบนเรือเพื่อรับประทานอาหาร เย็น และทำกิจกรรมต่างๆ และก็จะเป็นแบบนี้ทุกวัน จนถึงวันกลับ โดยที่จะมีประมาณ 1 วัน สำหรับเส้นทาง ไม่เกิน 3 คืน และ 2 วันสำหรับเส้นทางที่ยาวกว่านั้น ที่เรือจะใช้ เวลาในการเดินทางไกล โดยนักท่องเที่ยวจะใช้เวลาอยู่บนเรือ และเรือจะมีกิจกรรมแบบจัดเต็มตลอดทั้งวัน รับรองได้ว่าไม่ เบื่อแน่นอน จะบอกว่าต่อให้เราอยู่บนเรือทั้งวัน ยังไม่ สามารถเล่นกิจกรรมได้ถึงครึ่งของที่เรือมีเลยก็ว่าได้
การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง
การเที่ยวเรือสำราญก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการเที่ยวทางบกปกติ เพียงแต่โรงแรมที่เราอยู่นั้น มันลอยน้ำได้ และพาเราไปเมืองต่างๆได้นั่นเอง การเก็บกระเป๋าก็ไม่ต่างกันเช่นกัน ก็อาจจะดูการ พยากรณ์อาการก่อนการเดินทางสักหน่อย เพื่อที่จะได้เตรียมชุดไปให้เหมาะกับสภาพอากาศของเมืองนั้นๆ ได้ แต่เมื่ออยู่ในเรือก็จะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดเวลา เพราะมีระบบปรับอากาศที่ปรับให้สบายๆกับ นักท่องเที่ยวทั่วไป ต่อให้ข้างนอกร้อนหรือหนาวแค่ไหนเข้ามาในเรืออากาศก็เย็นสบายๆ พอดีๆ
ขั้นตอนการ Check in ขึ้นเรือ
เมื่อเราเดินทางถึงท่าเรือต้นทาง ก็สามารถนำกระเป๋าเดินทางไปวางไว้ที่ Bag Drop Area พนักงานก็จะขอดู Set Sail Pass เพื่อดูหมายเลขห้องเพื่อที่จะตรวจสอบกับ Tag กระเป๋าสำหรับการนำส่งกระเป๋าขึ้นไปที่ห้อง พักของท่านต่อไป หลังจากนั้นเราก็เดินตัวปลิวเข้าไป Check in ได้เลย ระหว่าง Check in นั้น เราก็นำ Set Sail Pass ไปให้ที่เคาท์เตอร์เพื่อทำการออกบัตรที่เรียกว่า Sea Pass Card ซึ่งบัตรนี้จะเป็นทั้ง Key Card เพื่อเปิดประตูห้อง บัตรเงินสดเพื่อใช้จ่ายบนเรือเป็น ID เพื่อแสดงตัวตนของเราในการขึ้นและลงเรือ เมื่อได้บัตรแล้วก็เดินทางไปขั้นตอนต่อไปได้เลย ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีการตรวจเช็ควีซ่าว่าเราทำถูกประเภทมาด้วยหรือเปล่า ถ้าทำมาผิดประเภทจะไม่ได้รับ อนุญาตให้ขึ้นเรือ หลังจากได้บัตร Sea Pass Card เราจะต้องมีการผ่าน ตม. หรือ Immigration ของประเทศนั้นๆ ตามพิธีการปกติ เพราะเรือปกติแล้วในเส้นทางจะมีการเดินทางออกจากน่านน้ำประเทศต้นทาง เช่น เส้น สิงคโปร์ก็จะไปมาเลเซีย เส้นจีนก็จะไปญี่ปุ่นเป็นต้น ด้วยเหตุนี้ก็จะมีการผ่าน ตม.ด้วย เมื่อผ่าน ตม.มาแล้ว เราก็ขึ้นเรือได้เลย
การใช้ชีวิตท่องเที่ยวบนเรือสำราญ
บนเรือของ Royal Caribbean นั้นมีกิจกรรมเรียกได้ว่าเยอะสุดๆ เรียกว่าตลอด 24 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้ อาทิเช่น ดูโชว์ต่างๆ ที่มีการแสดงที่เปลี่ยนไปเรื่องๆ ในแต่ละวัน เข้าคลาสความรู้สนุกๆต่างๆ กีฬา Basket ball, Table Tennis, Mini golf,Ice Skate, ปีนผาจำลอง ฯลฯ สปา และ บริการเสริมสวย สระว่ายน้ำ และ Jacuzzi Casino ฟิตเนส ,โยคะ เพื่อสุขภาพ ห้องสมุด มุมอ่านหนังสือ ช้อปปิ้งสินค้า Duty Free Photo Booth คาราโอเกะ เกมส์โชว์ การทานอาหารบนเรือ
บนเรือของ Royal Caribbean นั้นจะมีอาหารบริการ เรียกได้ว่า จัดเต็มที่สุดในท้องทะเล เป็นภัตราคารลอย น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เรือแต่ละลำจะมีห้องอาหารที่มีชื่อเรียกเหมือนกันแบ่งได้ตามนี้
ห้องอาหารที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
- ห้องอาหาร บุฟเฟต์ ชื่อ Wind Jammer ที่เปิดทั้งมื้อ เช้า กลาง วัน เย็น
- ห้อง Main Dining Hall ซึ่งเป็น อาหารแบบ Course Menu ที่ สามารถเลือกสั่งได้ตามใจชอบ ทานเท่าไรก็ได้เช่นกัน เรียกว่าน้ำ หนักขึ้นกันรัวๆเลยทีเดียวเชียว
- อีกทั้งยังมีห้อง Promanade Cafe ที่บริการ Snack ตลอด 24 ชั่วโมง
- Sorrento เป็นร้านบริการ Pizza แบบจัดเต็ม หยิบกี่ชิ้นก็ได้ หลังจากนั้นก็อาจต้องเจียดเวลา ไปเผาผลาญพลังงานกันที่ฟิตเนสกัน
- Coastal Kitchen ที่เป็นห้อง Main Dining สำหรับลูกค้าห้อง Suite อาหารก็จะใช้วัตถุดิบที่ต่างกับห้องอาหารธรรมดาแน่นอนว่าอร่อยมาก
ห้องอาหารที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
จะเป็นห้องอาหารพิเศษต่างๆที่จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น
- ร้าน Chops Grill เป็นร้านแนวร้าน Steak ที่มีเนื้อคุณภาพดีบริการ ท่านด้วยเมนูที่หลากหลาย
- ร้าน Izumi Asian Cuisine เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เลือกใช้วัตถุดิบ สดใหม่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเราอยู่ในทะเล อาหารจานปลานี่สด มากจริงๆ
- Giovanni’s Table ร้านอาหารอิตาเลี่ยนกลางทะเล
- Jamie Italian เป็นร้านอาหารจากเชฟชื่อดัง Jamie Oliver ซึ่งจะมีสาขาอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆของ โลก และพึ่งเปิดที่สยามได้ไม่นาน ตอนนี้ได้มาอยู่บนเรือของ Royal Caribbean เรียบร้อยแล้ว
- Starbuck คอกาแฟตราเงือกสามารถใช้บริการได้ตลอดทริปเลย
- Vintage Wine Bar เป็นร้านไวน์ที่มีให้ท่านเลือก และลองชิมไวน์จากทั่วโลกได้กว่าร้อยรายการ
การใช้ Pocket wifi และ Internet กับการเที่ยวเรือสำราญ
Pocket wifi ในทุกๆประเทศนั้นเป็นการแปลงสัญญาณ Internet ของโทรศัพท์มากระจายเป็น Wifi ให้เราได้ใช้กัน ซึ่งสัญญาณนั้นจะคลอบคลุมไปถึงบริเวณชายฝั่ง และไกลออกไปในทะเลอีกไม่กี่กิโลเมตร ดังนั้น หากว่าเรือของเราเดินทางออกจากท่าเรือ เพื่อมุ่งหน้าไปอีกเมืองหนึ่งนั้น สัญญาณของ Pocket wifi ก็ จะหายไป ทำให้เราใช้ internet จาก Pocket wifi ของเราไม่ได้เมื่อเรือสำราญของเราเดินทางออกมา ไกลจากฝั่งระยะหนึ่ง ดังนั้น บนเรือสำราญของ Royal Caribbean จึงมีบริการ Internet ให้กับนักท่องเที่ยวทุกๆคนบนเรือ ก็จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆตามแพ็กเกจที่เราจะเลือก ก็จะมีทั้ง โปรสำหรับใช้ 1 เครื่อง ไปจนถึง 4 เครื่องซึ่ง แต่ละเครื่องก็จะได้รับ User และ Password ที่ต่างกันออกไป แล้วแต่แต่ละคน ราคาก็เริ่มต้นตั้งแต่ 12 USD ต่อวัน ต่อเครื่อง หากซื้อ 4 เครื่อง ราคาก็จะลดหลั่นกันลงไปจนถึงประมาณ 9 USD ต่อวันต่อเครื่อง เรียกได้ว่าประมาณ 350 บาทต่อวันนั้น ก็ไม่ถึงกับแพงจนเกินไปกับการได้ Live มาให้เพื่อนๆที่เมืองไทยได้ อิจฉาเล่นจริงไหม
"วีซ่า" ข้อควรระวังก่อนการเที่ยวเรือสำราญ
วีซ่า - เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของการเดินทางเลย การขึ้นเรือนั้นเส้นทางส่วนใหญ่จะเดิน ทางออกไปต่างประเทศด้วย ยกตัวอย่างเช่น เส้นทาง จีน (เซี่ยงไฮ้) - ญี่ปุ่น (ฟูกุโอกะ) - จีน (เซี่ยงไฮ้) 4 วัน 3 คืน เราจะต้องเดินทางไปขึ้นเรือที่ประเทศจีน ซี่งโดยทั่วไปแล้วเดินทางจากไทย ก็จะไปทางเครื่องบินกัน การเข้าประเทศจีนทางเครื่องบินนั้น นับเป็นการเข้าครั้งที่ 1 จากนั้นเราก็จะขึ้นเรือเพื่อเดินทางออกจากประเทศจีนไปยังประเทศญี่ปุ่น ณ ขณะนี้เราได้เดินทางออกจากประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น ขากลับ เรือจะพาเราเดินทางจากญี่ปุ่น กลับเข้าประเทศจีนอีกรอบ นับเป็นการเข้าครั้งที่ 2
ดังนั้น ทริป จีน (เซี่ยงไฮ้) - ญี่ปุ่น (ฟูกุโอกะ) - จีน (เซี่ยงไฮ้) 4 วัน 3 คืน นั้น เราต้องเตรียมทำวีซ่าเข้าประเทศจีน แบบ Double Entry หรือแบบเข้าออก 2 ครั้ง นั้่นเอง การที่เรามีวีซ่าแบบเข้าออกครั้งเดียว หรือ Single Entry Visa นั้น จะทำให้เราถูกปฎิเสธการขึ้นเรือตั้งแต่ต้นทางโดยทันที ไม่มีข้อยกเว้น เรียกว่าแพคกระเป๋ากลับบ้านกันเลยทีเดียวเชียว ในขณะเดียวกันนั้น หากเป็นการเดินทางที่ยุโรป เราต้องเลือกที่จะขอวีซ่าเป็นประเภท Multiple Entry เท่านั้น เนื่องจากมีการเข้าออกจาก Port หลายๆ ประเทศเช่นกัน
ที่มา :
cruisefever.net
www.holidayinthecruise.com