บางครั้งเวลาพิมพ์ข้อความเราไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ได้ ดังนั้นเราจึงมีตัว่วยคือการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ มารวมกัน เพื่อใช้แทนสีหน้าหรือท่าทางในประโยคนั้น.. เราเรียกสัญลักษณ์ตัวนั้นว่า "อิโมจิ" :)
และเนื่องจากวันนี้ตรงกับวันอิโมจิโลก ทาง Admission Premium เลยขอนำเสนอความเป็นมาและเรื่องราวของสัญลักษณ์พวกนี้หน่อยดีกว่า!
ก่อนกำเนิดอิโมจิ.. มันคือ Emoticon มาก่อนนะ!
Emoticon เป็นคำภาษาอังกฤษ มาจาก 2 คำ คือคำว่า emotion ที่แปลว่าอารมณ์ และคำว่า icon ที่แปลว่ารูปสัญลักษณ์ ดังนั้น emoticon คือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนอารมณ์โดยสัญลักษณ์ข้อความบนคอมพิวเตอร์ หรือทุกสื่อที่พบ โดยเรียกว่า Emoticons อย่างเช่น :) แทนหน้ายิ้ม หรือ :( แทนหน้าเศร้า
โดย Emoticon เกิดขึ้นครั้งแรก ตอน 19 กันยายน 1982 โดย Scott Fahlman เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ได้ทำการใส่ :- ) และ :- ( ในกระทู้กระดานข่าวสารของ มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ทำให้เกิดความสนใจและเกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย จนถูกนำมาใช้บน เครือข่าย ARPANET และ Usenet ภายนอกมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ Scott Fahlman ก็ยังประดิษฐ์อีโมติคอนแบบอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย
ต่อมาในปี 1986 ประเทศญี่ปุ่นก็ประดิษฐ์สัญลักษณ์โดยต่อยอดมาจาก Emoticon ให้เป็นสไตล์คิมูจิ..ญี่ปุ่นไปอีกแบบ เรียกว่า Kaomoji โดยความพิเศษคือจะนำสัญลักษณ์พิเศษต่างๆ หรือตัวอักษณจากภาษาต่างประเทศ มาใส่ประกอบไปด้วย เช่น (^_^) (@^-^) (T_T) ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
จาก Emoticon สู่ความน่ารักในรูปแบบ Emoji
Emoji เป็นคำภาษาญี่ปุ่น มาจากผสมคำระหว่างคำว่า e (絵) ที่หมายถึง รูปภาพ. และ moji (文字) หมายถึง ตัวอักษร ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้เริ่มนำ Emoji มาใช้เมื่อปี 1995 ผ่าน Pager (ถ้าน้องๆ หลายคนทราบหรือเคยชอบภาพยนตร์ซีรีส์จากประเทศญี่ปุ่นจะพบว่า คนญี่ปุ่นนิยมส่งข้อความมากกว่าการโทรคุย โดยเฉพาะทางอีเมล์หรือเพจเจอร์.. ในการ์ตูนนักสืบจิ๋วโคนันภาคแรกๆ นี่ใช้กันบ่อยเลยล่ะ!)
โดย NTT docomo ผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ให้บริการ Emojo โดยการเพิ่มรูปหัวใจต่างๆ เข้าไปในระบบ แต่เพจเจอร์รุ่นต่อมา ก็ถอดฟีเจอร์ส่งรูปหัวใจออก เพราะต้องการให้เครื่องรองรับตัวอักษรคันจิและอักษรละตินด้วย วัยรุ่นจึงเลิกใช้..
ต่อมาด้วยกระแสเรียกร้อง NTT docomo จึงพัฒนาอิโมจิอีกครั้ง โดยลุยพัฒนา i-mode เมื่อเดือนกุุมภาพันธ์ 1999 ซึ่งเป็นระบบโทรศัพท์ที่สามารถเรียกดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตได้เป็นรายแรกๆ ของโลก จึงนำ Emoji เข้าไปใส่ในระบบที่กำลังจะวางตลาดด้วย
โดยผู้สร้าง Emoji คนแรก คือ Shigetaka Kurita เป็นหนึงในสมาชิกทีม i-mode โดยเป็นชาวญี่ปุ่น โดยสาเหตุที่สร้าง Emoji นั้นเพราะว่าการสื่อสารด้วยตัวอักษรแบบ Emoticon ยุ่งยากมากในการทำให้เข้าใจหรือสื่ออารมณ์ได้ จดหมายขอโทษหรืออะไรต่างๆ ของญี่ปุ่นจึงต้องเขียนกันยืดยาวเพื่อแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง หรือใช้ Kaomoji ที่รวมหลายๆ ตัวอักษรขึ้นมาเพื่อแสดงอารมณ์
ด้วยความที่พิมพ์ยืดยาว ไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์บนโทรศัพท์มือถือ คุณ Kurita เลยต้องการอะไรสักอย่างที่ทำให้ผู้รับสารเข้าใจได้ทันที ด้วยสัญลักษณ์อารมณ์ต่างๆ ที่บ่งบอกชัดเจน
จึงเป็นที่มาของ Emoji นั่นเอง!
จุดเริ่มต้นของอีโมจิ..
โดยที่คุณ Kurita ได้ออกแบบ Emoji เองถึง 176 แบบ ด้วยขนาดพื้นที่เพียง 12×12 พิกเซลเท่านั้น และต้องวางจุดขาว-ดำให้ดูเป็นรูปด้วย!
และเมื่อ Emoji ถูกใส่เข้าไปใน i-mode ทำให้ได้รับความนิยมสูงจน KDDI หรือ SoftBank ก็ขอเล่นด้วย.. ทำให้สัญลักษณ์ Emoji ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ก็ยังคงมีปัญหา คือ แต่ละค่ายมีมาตรฐานไม่เหมือนกัน! อีกค่ายหนึ่งส่ง Emoji ไปอีกค่ายหนึ่งแล้วมองไม่เห็นสัญลักษณ์ หรือไม่ตรงกัน ทำให้ทั้ง 2 ค่ายนี้ ต้องเข้ามามาตกลงกันแล้วตั้งเป็นมาตรฐานกลางของญี่ปุ่นซะเลย!
ปัจจุบัน Emoji ใช้กันอย่างแพร่หลายจนก้าวเข้าสู่ระดับโลก และได้มีการกำหนดอักขระภาพและอารมณ์ต่างๆ ให้เข้ามาตรฐาน Unicode 6.0 อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2010 นอกจากนี้ยังมีแอปแชตอื่นๆก็ทำ Emoji มากมาย (ตอนนี้ก็พัฒนาเป็น Sticker แล้ว) จนทำให้เวลาคุยกัน ก็มักจะใส่ข้อความพร้อมกับสัญลักษณ์แทนอารมณ์อย่าง Emoji อยู่เสมอ
อยากออกแบบบ้าง ควรเรียนสาขาอะไรดี?
ตามจริงการออกแบบ Emoji หรือสติกเกอร์ในปัจจุบัน ใครๆ ก็ทำได้ แต่หากจะให้ตรงสายเลยก็จะเป็นด้านการออกแบบกราฟิก เพราะต้องเข้าใจในการสื่อสารลักษณะและอารมณ์ของตัวละครของเราอีกด้วย.. แถมยังพัฒนาคาเร็กเตอร์ไปยังงานต่างๆ ได้อีกด้วย
กลุ่มคณะและสาขาวิชาที่เหมาะสมคือทางด้าน : การออกแบบกราฟฟิก
ที่มา : https://www.it24hrs.com/2015/emoticon-emoji-story/