สอบเข้ามหาวิทยาลัย

"ดาว์พงษ์" นัดมหา'ลัย ถกรับตรงแก้ปัญหาย้ายคณะอุตลุด -ถามได้เด็กตามที่ต้องการจริงหรือไม่

11 ส.ค.นี้ "ดาว์พงษ์" นัดมหา'ลัย ถกรับตรงแก้ปัญหาย้ายคณะอุตลุด -ถามได้เด็กตามที่ต้องการจริงหรือไม่ ขณะที่ประธาน ทปอ.ชี้สถาบันมีสิทธิคัดเลือกเด็ก แต่ต้องมองภาพรวมด้วย
 
 
 
UploadImage

วันนี้ (2 ส.ค.) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ตนนัดประชุมกับกลุ่มที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) กลุ่มที่ประชุมประธานมหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ และกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มีคำสั่งหัวหน้า คสช.เรื่องการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับการรับนิสิต นักศึกษา ในระบบรับตรงของมหาวิทยาลัยต่างๆว่าได้เด็กเข้าเรียนเป็นไปตามความต้องการจริงๆของมหาวิทยาลัยหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบเปิดรับตรงกันมาก เนื่องจากมหาวิทยาลัยต้องการได้เด็กที่ตรงกับคณะที่จะเข้าเรียน เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาภายหลัง ขณะที่ระบบการคัดเลือกเดิม คือ ระบบเอ็นทรานซ์ ก็ไม่สามารถคัดเด็กได้ตรงตามความต้องการของแต่ละคณะ ทำให้มีการย้ายคณะกันอุตลุด ซึ่งมหาวิทยาลัยพยายามปรับแก้ระบบการคัดเลือกเด็กนจนมาใช้วิธีแอดมิชชั่นและวิธีอื่นๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าใช่วิธีที่ดีที่สุด จึงต้องหารือกับผู้ปฏิบัติ

ด้าน ศ.นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธาน ทปอ. กล่าวว่า การรับตรงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาในภาพรวมใหญ่ แต่ตนเห็นว่ามหาวิทยาลัยควรที่จะมีแนวทางและทิศทางในการทำงานในระบบเดียวกันพอสมควร ไม่ใช่ประเทศหนึ่งมีกระบวนการคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัยที่หลากหลายมาก แต่เนื่องจากนโยบายการรับนักศึกษาของประเทศยังไม่มีความมั่นคง ใครคิดได้ก็จะออกตัวไปก่อน แต่เราก็พยายามกระตุกกันและให้มองภาพรวมเป็นหลัก ซึ่งในการประชุมร่วมกับ รมว.ศึกษาธิการใน วันที่ 11 สิงหาคมนี้ ทปอ.จะคุยเรื่องรับตรงด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องการคัดเลือกนิสิต นักศึกษาเข้าเรียนเป็นสิทธิของแต่ละมหาวิทยาลัย หากไม่จำเป็น ทปอ.ก็ไม่อยากเข้าไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไร อยากให้แต่ละมหาวิทยาลัย ดูความพร้อมและคิดวิธีการคัดเลือกของตนเอง โดยคำนึงถึงภาพรวมใหญ่ที่เดินไปด้วยกันได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เดลินิวส์