เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดของ ดช./ดญ. iPhone ลูกพ่อสตีฟ จ็อบส์และผองเพื่อน (Apple) ซึ่งต้องบอกเลยว่าการมาจุติของเจ้าไอโฟนในครั้งนั้นเป็นปรากฎการณ์ที่ทำให้วงการโทรศัพท์มือถือของโลกสั่นสะเทือนและตื่นตัวเป็นอย่างมาก เพราะในสมัยนั้นยังเป็นยุคของฟีเจอร์โฟนหรือมือถือปุ่มกดทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ไอโฟนกลับเผยโฉมด้วยภาพลักษณ์และรูปแบบการใช้งานที่ผิดผี ผิดมนุษย์ ไม่ใช่ซิ! ผิดโทรศัพท์มือถือทั่วไป(ในสมัยนั้น) ด้วยหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่กว่าชาวบ้านชาวเมืองเขารวมไปถึงรูปแบบการใช้งานแบบ Multi-Touch ที่ตอนนี้กลายเป็นต้นแบบของ Smartphone ในปัจจุบันไปแล้วเรียบร้อย
วันนี้พี่จะพาน้องๆ ไปทำความรู้จักกับ ‘ต้นกำเนิด iPhone’ ที่น้อยคนจะได้รู้มาฝากกันดีกว่า เพราะถ้าจะให้พี่มาบรรยายที่มาที่ได้ของไอโฟนเหมือนกับคนอื่นๆ มันก็คงจะซ้ำซากและน่าเบื่อ ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้างที่เรายังรู้ลึกไม่พอเกี่ยวกับเจ้านวัตกรรมที่เข้ามาเปลี่ยนโลกแห่งโทรศัพท์มือถือและการใช้ชีวิตประจำวันไปตลอดกาล ตามไปดูกันเลยจ้า
Apple เคยร่วมมือกับ Motorola สร้างโทรศัพท์มือถือ MotoROKR with iTunes ออกมาได้อย่างสุดห่วยสุดๆ แต่อย่างไรก็ตามก็ถือได้ว่าเจ้านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ สตีฟ จ็อบส์ คิดจะสร้าง iPhone ออกมาเพื่อล้างตราบาปนี้
ไอโฟนเกิดจากโปรเจคที่บริษัทคิดจะสร้าง ‘โทรศัพท์มือถือ’ (iPhone) และ ‘แท็บเล็ต’ (iPad) ขึ้นมา แต่หัวเรือใหญ่มองว่าบริษัทไม่สามารถจับปลาสองมือได้พร้อมๆ กัน จึงพับโครงการแท็บแล็ตไปก่อนแล้วหันมาพัฒนาไอโฟนอย่างเต็มกำลัง
iPhone รุ่นต้นแบบมีทั้งที่เป็นการใช้งาน แบบ Click Wheel เหมือนกับ iPod และ แบบ Multi-Touch เฉกเช่นในปัจจุบัน 6 เดือนให้หลังโปรเจคสร้างโทรศัพท์มือถือ Click Wheel ดูท่าจะไม่เหมาะกับไอโฟนจึงทุกพับทิ้งลงถังขยะแล้วหันมาให้โฟกัสที่ Multi-Touch อย่างเต็มรูปแบบ
Apple ได้ซื้อบริษัท FingerWorks เจ้าของ(เก่า)สิทธิบัตร Multi-Touch อย่างเงียบๆ เพื่อสิทธิบัตรนั้นเป็นของตัวเองอย่างสมบูรณ์
สตีฟ จ็อบส์ อยากให้ลูก(ไอโฟน)ของเขาใช้หน้าจอแบบกระจกมากกว่าพลาสติกแบบแบรนด์อื่นๆ เขาควานหาจนได้บริษัท Corning Glass ในนิวยอร์กที่ช่วยคิดค้นและผลิตกระจกแบบพิเศษที่ชื่อว่า Gorilla Glass ได้สำเร็จ
สตีฟ จ็อบส์วางเดิมพันอนาคตบริษัทไว้กับโปรเจคนี้เป็นอย่างมาก โดยคาดว่าโปรเจค iPhone รุ่นแรกนี้ใช้ทีมงานในการสร้างสรรค์มากถึง 1,000 คน ใช้ระยะเวลาพัฒนายาวนานถึง 30 เดือน และงบประมาณกว่า 4,500 ล้านบาทกับโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว
โปรเจคได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องถึง 9 เดือนในขณะที่ทุกอย่างดูจะไปได้สวย สตีฟ จ็อบส์ กลับเดินมาบอกกับทีมงานว่า “ดีไซน์ของไอโฟนตอนนี้ยังไม่ถูกต้อง” จากนั้นก็ทำการรื้อโปรเจคทั้งหมดและทำใหม่ (Shock!)
สตีฟ จ็อบส์ ตัดสินใจยัดเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย(ณ ตอนนั้น)อย่างเข้าไปในเจ้าไอโฟนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอย่างการใช้ sensor เปิด/ปิดเครื่องเวลายกแนบหู, แบตเตอรี่ที่ถอดเปลี่ยนไม่ได้ รวมไปถึง Slide to unlock อันเป็นเอกลักษณ์ของไอโฟนอีกด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา Apple นอกจากจะสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัยขึ้นมาให้ผู้บริโภคได้ตื่นตาตื่นใจอย่างสม่ำเสมอแล้ว บริษัทยังทำกำไรจากการขาย iPhone มาได้อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 10 ปีที่นี้ จากเดิมตั้งเป้าไว้แค่เพียง 1% ของยอดขายโทรศัพท์ทั่วโลก จนตอนนี้ไอโฟนได้กลายเป็นโทรศัพท์มือถือที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้วด้วยยอดขายมากกว่าครึ่งของโทรศัพท์ทุกรุ่นรวมกันเสียอีก ก็คงต้องยอมรับเลยว่า ‘iPhone ได้เข้ามาทำให้วงการโทรศัพท์มือถือเปลี่ยนไปตลอดกาลอย่างแท้จริง’ จากน้องใหม่ของวงการที่หลายคนมองว่าจะไปรอดหรือไหม ขึ้นมาเป็นที่หนึ่งแซงหน้าและแทนที่ยักษ์ใหญ่ของวงการ เท่านี้ก็น่าจะพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีกับความสำเร็จของ สตีฟ จ็อบส์ และทีมงาน(รุ่นแรก)ที่ได้พยายามคิดและทำสิ่งที่แปลกใหม่จากประแสเดิมๆ ออกมาเสนอโลกภายนอก ในช่วงที่หลายคนทำอะไรเหมือนๆ กันไปหมด ซึ่งพี่คิดว่านี้ล่ะคือต้นขั้วของใหม่ของคำว่า ‘เอกลักษณ์ (Unique)’ ในยุคบุกเบิกของดิจิทัลที่แท้ทรู พบกันใหม่บทความหน้านะจ๊ะ บั๊ยบาย ย ย ย~
ข้อมูลจาก : macthai