บล็อกเชนเปรียบเสมือนเครือข่ายการเก็บข้อมูลแบบหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและได้รับข้อมูลเดียวกัน เราจึงรู้ว่าใครมีสิทธิและเป็นเจ้าของข้อมูลเหล่านี้จริงๆ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในแต่ละบล็อก (Block) ที่เชื่อมโยงกันบนเครือข่ายเหมือนกับห่วงโซ่ (Chain) นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เราเรียกรูปแบบการเก็บและแชร์ข้อมูลแบบนี้ว่า Blockchain
นอกจากนี้ เมื่อธุรกรรมต่างๆ ถูกบันทึกในบล็อกเหล่านี้แล้ว เราจะไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆได้เพราะทุกคนต่างก็มีสำเนาหรือประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดอยู่กับตัว จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะมาปลอมแปลงข้อมูลโดยปราศจากการรับรู้จากผู้คนส่วนใหญ่
เพื่อตอบคำถามข้างต้น เราจะเน้นในบางจุดควบคู่กับการแบ่งหัวข้อออกเป็นสองมิติหลักๆ คือเชิงแนวคิดและเชิงกลวิธี
1. เราอยู่ตรงไหนของวงจร ?
ลองเลือกทฤษฎีวงจรที่คุณชอบมาครับ จะวงจร Hype Cycle ของ Gartner ทฤษฎีการพัฒนาทางเศรษฐกิจของ Carlota Perez หรือจะทฤษฎีการก้าวข้ามจุดเปลี่ยนผ่านจากหนังสือ Crossing the Chasm ของ Geoffrey Moore ก็ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรากำลังอยู่ในช่วงปีเริ่มต้น ของทุกวงจรที่กล่าวมานี้ แต่ว่ามันตรงไหนกันแน่ล่ะ?
เมื่อไหร่บล็อกเชนจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในแง่ของผู้ใช้ ความหลากหลายในการใช้งาน เสถียรภาพ และรูปแบบการเจริญเติบโตที่คาดเดาได้ จากมุมมองของผม เรายังไม่ก้าวข้ามจุดเปลี่ยนผ่านครับ ยังไม่ถึงช่วงที่เทคโนโลยีถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ยังไม่ผ่านจุดสูงสุดของความคาดหวังอันฟุ้งเฟ้อด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนขึ้นคือตัวเราอยู่ตรงไหนกันแน่นั้นมองเห็นได้แค่จากกระจกมองหลัง เมื่อเรามีโอกาสมองย้อนกลับไปเท่านั้น ระหว่างนั้นเราก็ยังคงต้องกรุยทาง ฝ่าฟันอุปสรรค และลุกขึ้นยืนให้ได้ทุกครั้งที่ล้มกันต่อไป
2. ต้องมีจุดแตกหักที่ชัดเจนเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนะความคาดหวังหรือไม่ ?
ถ้าอินเทอร์เน็ตคือต้นเค้าแห่งประวัติศาสตร์ของบล็อกเชน ปี 2000 ก็นับเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากเพราะมันลบล้างความเชื่อปลอมๆ ของคนออกไป ปรับทัศนะความคาดหวัง และเปิดโอกาสให้คนที่ใจนิ่งกว่าเข้ามามีบทบาทในวาระใหม่และการเริ่มต้นใหม่หลังการเปลี่ยนแปลง
อินเทอร์เน็ตยุคใหม่ถูกขนานนามว่า Web 2.0 และเริ่มปรากฏโฉมราวปี 2003 นำมาซึ่งความรุ่งเรืองและการเติบโตอย่างยั่งยืนจนถึงปัจจุบันของระบบเว็บนับตั้งแต่บัดนั้น เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นคือราว 7 ปีให้หลัง หลังจากที่ระบบเว็บเริ่มปรากฏโฉมครั้งแรกในปี 1993
สำหรับบล็อกเชนบางคนเริ่มใช้ชื่อที่เรียกว่า Crypto 2.0 กันแล้ว ทว่านั่นน่าจะเป็นชื่อเล่นที่เร็วเกินไปสำหรับช่วงชีวิตของบล็อกเชนที่เราอยู่กันในขณะนี้
ผมมั่นใจเหลือเกินว่าเรายังอยู่กันในช่วงแสวงหาประโยชน์จากยุค Blockchain 1.0 หรืออะไรทำนองนั้น ถึงแม้วิวัฒการของมันจะมีความต่างจากเว็บอยู่เล็กน้อย บางทีคงมีแค่จุดแตกหักที่แท้จริงเท่านั้น ที่จะเขย่าวงการได้แรงพอและทำให้ประตูที่เปิดสู่ยุค Blockchain 2.0 กลายเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้
3. ขอบเขตของบล็อกเชนอยู่ตรงไหน ?
เรารู้กันหรือยังว่าบล็อกเชนสามารถนำไปใช้ตรงไหนได้และตรงไหนไม่ได้ อะไรจะทำได้จริงและอะไรบ้างที่ไม่มีวันเป็นไปได้ คำตอบคือเราไม่มีทางรู้แน่ชัดนอกจากจะต้องผลักดันกันต่อไป ต้องพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อหาคำตอบว่าขอบเขตที่แท้จริงแล้วอยู่ตรงไหนผมเห็นหลายกรณีที่มีการคิดนำบล็อกเชนเข้ามาใช้ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำตอบที่รอเก้อ เมื่อแท้จริงแล้วคำถามไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ยกตัวอย่างเช่นในแวดวงสุขภาพซึ่งถูกมองว่าเหมาะกับการนำบล็อกเชนเข้ามาใช้มากที่สุด ทว่าเรากลับยังไม่เคยเห็นความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมหรือการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใดๆ เลย พูดให้เจาะจงขึ้นไปอีกคือผมได้ยินบ่อยๆ ว่าบล็อกเชนจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการถ่ายโอนข้อมูล ประวัติการรักษาของผู้ป่วย แต่ประเด็นเล็กๆ ที่หลายฝ่ายตระหนักดีก็คือการแก้ปัญหาประวัติการรักษาที่ว่า ยังมีประเด็นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนที่ต้องถูกสะสางก่อนรออยู่
4. บล็อกเชนจะมีผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจหรือไม่ ?
องค์กรอัตโนมัติกระจายศูนย์หรือ DAOs (Decentralized Autonomous Organizations) ทำให้หัวคิดแบบสมัยเก่าของเราเกิดคำถามเกี่ยวกับการบริหารองค์กรขึ้น แต่เรายังไม่อาจรู้ได้ว่าแนวคิดระยะเริ่มแรกเหล่านี้จะสามารถแทรกซึมเข้าไปสู่องค์กรแบบดั้งเดิมใดๆได้หรือไม่ หรือพวกมันจะอยู่แค่ในขอบเขตธุรกิจที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนเป็นหลักเท่านั้น
แนวคิดขององค์กรกระจายศูนย์ที่ผูกกับเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีอิทธิพลกับการจัดการธุรกิจหรือไม่ ที่ระดับใด จริงอยู่ที่เรายังคงไม่เห็นภาพระบบบริหารจัดการด้วยบล็อกเชนแบบเบ็ดเสร็จ แต่เราต้องการตัวอย่างในยุคเริ่มแรกเหล่านี้เพื่อเป็นต้นแบบว่าธุรกิจควรมีการดำเนินการอย่างไร ระบบบริหารจัดการอัตโนมัติกับการดำเนินงานอัตโนมัติเป็นคนละเรื่องกัน แต่ในทั้งสองกรณี เราต่างต้องการประสบการณ์ที่มากขึ้นในการสร้างต้นแบบและดำเนินงานทั้งสองระบบควบคู่กันไป จนกว่าจะหาคำตอบที่ชัดเจนได้ว่าองค์กรธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
5. บล็อกเชนจะมีบทบาทช่วยส่งเสริม GDP อย่างไร ?
เรายังไม่อาจรู้ครับ ในเชิงเปรียบเทียบ ในประเทศที่พัฒนาแล้วเศรษฐกิจบนอินเทอร์เน็ตช่วยส่งเสริม GDP ของชาติได้ตั้งแต่ 5-12 เปอร์เซ็นต์ และนั่นคือความสำเร็จภายหลังระบบเว็บเกิดขึ้นแล้วถึง 23 ปี
จริงอยู่บริษัทที่ดำเนินงานด้วยสกุลเงินดิจิทัลได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว แต่จะเป็นอย่างไรถ้าพูดถึงผลกระทบรวมในแง่การสร้างความมั่งคั่งจริงให้กับประเทศ ระบบอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ เรารู้ว่ามูลค่ารวมของสกุลเงินดิจิทัลที่ลอยอยู่ในท้องตลาดจะอยู่ที่คร่าวๆ ประมาณ 15,000 ล้านเหรียญเมื่อจบปี 2016 แต่นั่นก็เป็นแค่มาตรวัดในเชิงปริมาณที่สัมพันธ์กับการสร้างความมั่งคั่งเท่านั้นเศรษฐกิจในเชิงดิจิทัลนี้จะดำเนินรอยตามเศรษฐกิจระบบเว็บ ด้วยการกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจใหญ่ได้หรือไม่? ผมเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งครับ แต่ตอนนี้เรายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวิวัฒนาการเท่านั้น
6. อัตลักษณ์บนบล็อกเชนดูแล้วมีอนาคตหรือไม่ ?
คนเราจะมีกี่อัตลักษณ์บนบล็อกเชนนับว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจ หนึ่งในคำตอบที่ดูเป็นไปได้คือ เราจะมีอัตลักษณ์บนบล็อกเชนเทียบเท่ากับจำนวนการ์ดที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์จริงๆ บวกกับจำนวนอัตลักษณ์ออนไลน์ที่เคยสร้างขึ้นทั้งหมด ทั้งนี้เพราะว่าอัตลักษณ์บนบล็อกเชนคือการนำอัตลักษณ์ในโลกจริงเข้ามาสู่โลกออนไลน์ เพื่อความเป็นไปได้ในการผสานปัจจัยความน่าเชื่อถือระหว่างสองขอบเขตกึ่งเสมือนจริงนี้
อัตลักษณ์บนบล็อกเชนเป็นเหมือนคำมั่นสัญญาซึ่งทำให้เราสามารถบริโภคบริการที่หลากหลายบนพื้นฐานที่สามารถเชื่อถือได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตนทางกายภาพ อย่างเช่นการออกเสียงเลือกตั้งทางไกล เป็นต้น
แอปพลิเคชันอะไรจะเป็นไม้ตายสำหรับอัตลักษณ์บนบล็อกเชน: แอปเลือกตั้ง แลกเปลี่ยน โซเชียลเน็ตเวิร์ค ร้านค้าออนไลน์ แอปบริการผู้บริโภค หรือว่าอื่นๆ สุดท้ายแล้วเราจะมีอัตลักษณ์มากมายหรือเพียงแค่หยิบมือ การเชื่อมโยงตัวตนเหล่านี้จะเป็นแค่สายใยที่เพ้อฝันหรือว่ามันจะมีคุณค่าขึ้นมาจริงๆ
7. เราสามารถทำกฎหมายให้เป็นรูปแบบของโค้ดได้หรือไม่ ?
มีความคาดหวังที่สูงมากเกี่ยวกับระบบสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชน คู่สัญญาจะสามารถจ่ายเงิน เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และประกาศการตัดสินใจได้จริงหรือไม่ บางทีอาจง่ายกว่าที่จะทำกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้กลายเป็นรูปของโค้ดและเราควรจะเริ่มจากตรงนั้น แทนที่จะร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ แถมพยายามเขียนให้กลายเป็นโค้ดทั้งที่มันยังไม่ได้รับการรับรอง
สัญญาอัจฉริยะจะสามารถควบคุมการดำเนินงาน การตัดสินใจ ผู้ถือหุ้น รวมถึงทิศทางในอนาคตของบริษัทได้หรือไม่ เราต้องระมัดระวังและไม่เร่งรัดในการนำมันมาใช้ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถึงนัยแฝงของข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้โดยสมบูรณ์
จากกรณี การพุ่งทะยานและดิ่งลงเหวของ DAO ที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหู มีการใส่ระบบอัตโนมัติลงในสัญญาอัจฉริยะซึ่งเปรียบเสมือนลูกนกที่เพิ่งหัดบินมากจนเกินไป ผลคือระบบดำเนินการกลับตาลปัตรแบบที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ด้วยมือมนุษย์ (ยกเว้นด้วยการใช้ hard fork)
ความเป็นอัตโนมัติดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายอันดื้อรั้นของ DAO เหล่าวิศวกรผู้แสนกระตือรือร้นทั้งหลายต้องการจะใส่พลังลงไปในสัญญาอัจฉริยะที่พวกเขาสร้างขึ้น เพียงเพราะตอนนี้ทั้งเงิน กฎเกณฑ์ทางธุรกิจ ความรับผิดชอบ และอำนาจการตัดสินใจสามารถนำมายำรวมกันเป็นโปรแกรมขนาดมหึมาได้แล้วเราจะได้เห็นอะไรที่เหมือนหัวหน้าใหญ่ของสัญญาอัจฉริยะซึ่งออกมาเพื่อควบคุมสัญญาอัจฉริยะอื่นๆ อีกทีหรือไม่ ภาษา Turing เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดหรือเป็นเพียงจุดอ่อน ของสัญญาอัจฉริยะกันแน่
8. เครือข่ายบล็อกเชนจะปลอดภัยกว่าเครือข่ายธนาคารที่มีในปัจจุบันหรือไม่ ?
เมื่อกล่าวถึงการเจาะระบบความปลอดภัยซึ่งเกี่ยวข้องกับบล็อกเชนที่ยังดำเนินการอยู่ (เช่น DAO หรือ Bitfinax ยกตัวอย่างเฉพาะสองเคสล่าสุดที่เห็นได้ชัด) คำถามหลักเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือ: ท้ายที่สุดแล้วเราจะเห็นระบบความปลอดภัยของบล็อกเชนเป็นของตาย เช่นเดียวกับที่เห็นความปลอดภัยระดับธนาคารเป็นของตายหรือเปล่า หรือนี่ยังเร็วไปมากเมื่อเทียบกับวงจรชีวิตของบล็อกเชนที่เราจะคาดหวังความยืดหยุ่นทางความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่คาดหวังให้ความปลอดภัยของบล็อกเชนเทียบเท่ากับสิ่งที่เรียกกันติดปากว่า “ความปลอดภัยระดับธนาคาร” แม้วันนี้เราจะยังไปไม่ถึงจุดนั้น อย่างไรก็ตามเราไม่ควรลืมว่าธนาคารจริงๆ เองก็มีประวัติศาสตร์การถูกโจรกรรมมาอย่างโชกโชน เริ่มตั้งแต่สมัยปี 1800 ในยุค Wild West ในสหรัฐฯ แถมยังคงมีการโจรกรรมธนาคารที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขโมย เจาะระบบ และบุกปล้นอย่างอุกอาจที่มีมาจนถึงทุกวันนี้
ท้ายที่สุดแล้วความไม่มั่นคงต่างๆ ของระบบรักษาความปลอดภัยของบล็อกเชนควรจะต้องกลายเป็นอดีต เพราะความปลอดภัยนับเป็นปัจจัยที่สำคัญมากหากบล็อกเชนต้องการจะเติบโตในอนาคต
9. บล็อกเชนจะมีปฏิสัมพันธ์กับบล็อกเชนอื่นๆ อย่างไรในโลกแห่งความจริง ?
เป็นคำถามที่ถูกสงสัยเข้ามามากเหลือเกิน และเป็นสิ่งที่เราแทบยังไม่เข้าไปแตะหรือคาดหวังจะหาคำตอบที่ทะลุปรุโปร่งได้ในปี 2017
รวมถึงคำถามอื่นๆ อย่างเช่น: จะมีวิธีพื้นฐานใดที่เราจะเข้าถึงข้อมูลที่อยู่นอกห่วงโซ่ได้หรือไม่ องค์กรแบบกระจายศูนย์จะกู้ความน่าเชื่อถือคืนมาในสายตาของหน่วยบริการแบบรวมศูนย์ได้ไหม บล็อกเชนหลายๆ ตัวจะทำงานร่วมกันที่ระดับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ได้หรือจะต้องใช้ตัวเชื่อมอื่นๆ อย่างไร เมื่อเราเชื่อมต่อกับบล็อกเชนได้แล้วยุค “อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things)” จะมาถึงจริงหรือ จะมีบล็อกเชนรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากแบบสาธารณะและส่วนบุคคลอีกไหม บล็อกเชนจะบันทึกและอัพเดทสถานะในโลกจริงได้อย่างไร หรือเราควรจะปรับกิจกรรมทุกอย่างให้เหมาะสมกับกิจกรรมบนบล็อกเชน การย้ายสินทรัพย์ข้ามบล็อกเชนจะเป็นฝันร้ายแห่งการรวมฐานข้อมูลหลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน หรือมันจะง่ายกว่านั้นเยอะ
10. บล็อกเชนส่วนบุคคลจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ?
โลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันของบล็อกเชนจะมีหน้าตาอย่างไร หรือพวกมันทั้งหมดจะทำงานร่วมกันได้เป็นหนึ่งเดียว ถ้าโลกนี้มีอินเทอร์เน็ตมากกว่าหนึ่งระบบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคงจะไม่เบ่งบานอย่างที่เป็นตลอดเวลาที่ผ่านมา แน่นอนว่าเส้นทางไปสู่ระบบบล็อกเชนหลายเครือข่ายและบัญชีธุรกรรมสาธารณะกำลังถูกสร้างอยู่ แต่เรายังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยว่า Network Effect ที่จำเป็นจะได้รับผลกระทบอย่างไร จากความทวีคูณของเครือข่ายบล็อกเชน บล็อกเชนส่วนบุคคลจะเกิดขึ้นเพียงรูปแบบเดียวคือเป็นของกลุ่มการค้าร่วม หรือจะมีรูปแบบอื่นๆ ในทำนองเดียวกับเว็บไซต์ส่วนบุคคล บริษัทหนึ่งๆ จะมีแอปพลิเคชันบล็อกเชนเป็นของตัวเอง เพื่อรองรับลูกค้าเฉพาะของพวกเขาหรือไม่
ที่มา
[1] http://techsauce.co/analysis/20-questions-where-blockchain-2017/
[2] https://www.it24hrs.com/2016/blockchain-effect-bitcoin-blockchain/
[3] http://www.blockchaintechnologies.com/blockchain-definition
[4] https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Blockchain_Illustration_2.jpg