สอบเข้ามหาวิทยาลัย

5 สิ่งต้องทำ!!! ถ้าอยากได้ทุนไปเรียนนอกฟรีๆ

UploadImage       
       ในช่วงนี้มีทุนการศึกษาให้ไปเรียนต่อฟรีๆ ออกมาเยอะ ปัญหาที่น้องๆคงจะเจอ คือ "ไม่รู้จะเตรียมตัวยังไง ไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อน" และสุดท้ายก็พลาดโอกาสในการสมัครทำนนั้นๆไป ดังนั้น ถ้านอกอยากเรียนนอกควรฟังทางนี้

1.ต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ

       คะแนนสอบภาษาอังกฤษก็คือ TOELF หรือ IELTS เป็นผลทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มหาวิทยาลัยไหนๆก็ยอมรับคะแนนดังกล่าว น้องๆที่คิดจะไปเรียนเมืองนอกแน่นอน ต้องสอบเก็บไว้

       TOELF มีการสอบหลายแบบ เช่น สอบด้วยคอมพิวเตอร์ สอบด้วยกระดาษ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยดังระดับโลก จะเรียกที่ 100 คะแนนขึ้นไป สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ ควรได้อย่างต่ำที่ 80 คะแนนขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ www.toefl.org หรือ ผ่านเอเจนซี่ต่างๆ ที่เป็นตัวแทนรับสมัคร ค่าสอบอยู่ที่ 160 USD

       IELTS มีคะแนนเต็มที่ 9.0 มหาวิทยาลัยทั่วไปจะเรียกที่ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่มหาวิทยาลัยดังๆ จะกำหนดไว้ที่ 7.0 สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ ควรได้ 6.0 คะแนนขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ British Council ค่าสอบประมาณ 6000 บาท

       ทั้ง TOELF และ IELTS ข้อสอบจะมี 4 พาร์ทคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยน้องต้องทำได้ดีทั้ง 4 พาร์ท จะเก่งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะบางมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขคะแนนด้วย เช่น คะแนนสอบ IELTS แต่ละส่วนจะมีคะแนนเต็มที่ 9.0 จากนั้นจะนำมาหาร 4 เพื่อสรุปเป็นคะแนนจริง แต่บางมหาวิทยาลัยจะกำหนดว่า คะแนน IELTS ต้องได้ 6.5 ขึ้นไป โดยไม่มีพาร์ทไหนได้ต่ำกว่า 6.0 ดังนั้นต่อให้บางคนได้พาร์ทการพูด การเขียน การฟังเต็ม 9.0 แต่ได้พาร์ทอ่านแค่ 5.0 แบบนี้ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยนั้น

       คะแนนการสอบจะเก็บไว้ใช้ได้ 2 ปี ส่วนมากจะจัดสอบเดือนละ 2-4 ครั้ง ผลสอบจะออกหลังจากการสอบประมาณ 2 สัปดาห์

       "ใครที่คิดจะไปโกอินเตอร์จริงๆ ควรต้องไปสอบเก็บไว้มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ในการไปเรียนต่อเมืองนอก" 

2.ฝึกภาษาอังกฤษให้เก่ง

       คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ไม่เก่งอังกฤษจะไปเรียนต่อนอกได้ยังไง? และก็เป็นคำถามที่ยังไร้คนตอบอยู่จนทุกวันนี้

       ถ้าทางบ้านน้องค่อนข้างมีฐานะ ออกค่าใช้จ่ายเอง ยังไงก็มีโอกาสได้เรียนอยู่แล้ว เพราะในปัจจุบัน "เงิน" สามารถช่วยจัดการหลายๆอย่างได้ เช่น หากน้องสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยของเมืองนอกโดยออกเงินเอง ไม่ได้ขอทุน และมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ TOELF หรือ IELTS ไม่ค่อยดีนัก มหางิทยาลัยจะยังไม่ปฏิเสธ เขาจะยื่นข้อเสนอมาว่า จะรับเข้าเรียนโดยต้องไปสอบ TOELF หรือ IELTS ใหม่อีกรอบให้ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนั้นหากเราไปสอบใหม่ให้ได้คะแนนดีขึ้น   และจ่ายค่าเทอม แค่นี้เราก็ได้เรียนสมใจอยากแล้ว

       ถ้าน้องจะสมัครทุนหรือสอบชิงทุน ขอบอกเลยว่า "ยากมากไม่น่ารอด" ทุนนั้นมี แต่มีให้สำหรับคนที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งคำว่า "เหมาะสมที่สุด" นั้น ก็รวมไปถึงความเก่งทางวิชาการและภาษาอังกฤษด้วย มันจะสะท้อนผ่านคะแนน TOELF หรือ IELTS ที่ต้องใช้ยื่นเพื่อสมัครทุน การจะได้ทุนบอกเลยไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ถ้าจะไปสมัครทุนหรือสอบชิงทุนโอกาสได้น้อยมากๆ

3.สอบวัดระดับภาษาอื่นๆ ที่จำเป็น 

       น้องๆ ที่คิดจะไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาที่ 3 ต้องรู้ไว้ โดยเฉพาะเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ควรไปสอบวัดระดับภาษานั้นๆ เก็บไว้ เพราะบางทุนกำหนดว่า ต้องมีคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆ ประกอบไปในการยื่นสมัครด้วย หรือบางทุนไม่ได้บังคับว่าต้องมี แต่ทุนนั้นๆ มักลงท้ายว่า "ผู้ที่มีผลคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ" ดังนั้นควรจะสอบเก็บไว้เป็นอย่างมาก

       การสอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กลางปีและปลายปี สมัครได้ที่มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง สำนักงานกรุงเทพ

       การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กรกฎาและธันวาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น

       การสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) จัดสอบปีละครั้ง ตุลาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนนานาชาติเกาหลี

       "นี่คือกำหนดการสอบแบบคร่าวๆ และต้องขอย้ำไว้เลยว่าควรสอบเก็บไว้และตามข่าวให้ดีว่าเขาจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่" 

4.เตรียมเอกสารให้พร้อม

       เอกสารที่ใช้ในการสมัครทุนต่างๆ นั้นมีเยอะมาก อ่านให้ละเอียด ห้ามขาดตกบกพร้องเด็ดขาด

เอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียน

       - ใบแสดงผลการศึกษา หรือทรานสคริปต์

       - ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียนหรือใบรับรองการจบการศึกษา

เอกสารที่เป็นของเราเอง

       - สูติบัตร หรือใบเกิด

       - ทะเบียนบ้าน

       - หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต

เอกสารที่ต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ

       - น้องๆ ควรนำไปแปลตามร้านรับแปลเอกสารต่างๆ เอกสารที่ควรนำไปแปลคือ เอกสารที่ต้องเน้นความแม่นยำและถูกต้อง นั่นก็คือเอกสารราชการ เช่น ใบสูติบัตร ใบทะเบียนบ้าน

       - เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษมาแล้ว ต้องมีการรับรองว่าเอกสารที่แปลนั้นถูกต้อง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมการกงสุล 

       - ส่วนเอกสารอื่นๆ เช่น ใบแสดงผลการศึกษา ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียน หากโรงเรียนไม่สามารถออกเป็นภาษาอังกฤษได้จริงๆ ควรนำไปให้ร้านรับแปลเอกสารแปลเหมือนกัน

       - พอร์ตฟอลิโอ หรือ ใบประกาศนียบัตร ที่เคยได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ สามารถแปลเองได้เลย

"เอกสารทั้งหมดนี้สำคัญมากนะ อยากให้น้องเตรียมเอกสารในมือให้พร้อมล่วงหน้า เพราะมีหลายคนสมัครทุนไม่ทันก็เพราะติดปัญหาเรื่องเอกสารนี่แหละ"

5.คิดให้ดี อยากเรียนที่ไหน ?

       หากเป็นทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เราคงไม่ต้องคิดมาก เพราะหากได้ทุนมาก็ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับทุนของรัฐบาลของประเทศต่างๆ เช่น ทุนของรัฐบาลเกาหลี ทุนของรัฐบาลจีน ได้ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน เราสามารถเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียนเองได้ คำถามที่มักจะตามอยู่เป็นประจำคือ "ผมอยากเรียนด้านการเงินที่จีน มหาวิทยาลัยไหนดีและดังบ้าง?"

       สิ่งที่ช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ให้เราได้ก็คือ RANKING หรือการจัดอันดับ สามารถค้นหาจากกูเกิ้ลได้ไม่ยาก เช่น "TOO FINANCE PROGRAM IN CHINA" เพียงเท่านี้ กูเกิ้ลก็จะช่วยหาคำตอบให้เราได้แล้ว ดังนั้นน้องๆ ควรศึกษาล่วงหน้าไว้บ้างว่า สาขาที่เราอยากเรียนนั้นมีที่ใดดังบ้าง เราจะได้มีเป้าหมายมากขึ้นว่าเราอยากเรียนมหาวิทยาลัยไหน

"นี่ก็คือ 5 ขั้นตอนในการเตรียมตัวสมัครขอทุนในการไปเรียนต่อเมืองนอกแบบฟรี อยากให้น้องศึกษาและตั้งใจในการเรียน เพื่อที่จะได้นำความรู้มาพัฒนาประเทศไทยของเราต่อไป"


UploadImage