กระชากทุก Rating ของรายการโทรทัศน์ในคืนวันพฤหัสบดีจนละครเรื่องไหนก็ฉุดไม่ได้ กับรายการที่กำลังเป็นกระแสฟีเวอร์ที่สุดในประเทศ ณ เวลานี้ อย่าง ‘The Mask Singer : หน้ากากนักร้อง’ ของช่อง Workpoint การันตีด้วย Rating เฉลี่ย 10.447 มียอดคนดูผ่าน Facebook Live แต่ละตอนกว่า 3 ล้านคน และยอดดูย้อนหลังใน YouTube ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเทปไหนที่ยอดต่ำกว่า 1 ล้านวิว ซึ่งในวงการโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ของประทศไทยยุคนใหม่ถือว่า ไม่เคยมีรายการไหนทำได้มาก่อน!!
นอกจากความสามารถของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนที่ทำให้ประชาชนหลงรักเสียงร้องของเขาภายใต้หน้ากากแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายการนี้โด่งดังและโดนใจผู้คนก็คือ
“ทีมงานผู้สร้างรายการ” ทั้งผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังกว่า 100 ชีวิต ที่ช่วยกันเนรมิตรายการ พร้อมจัดเต็ม Production อันน่าตื่นเต้นบนเวทีด้วยความทุ่มเทและใส่ใจในทุกรายละเอียด
ซึ่งการสร้างรายการซักอย่างให้ฮิตในระดับที่ติดลมบนล้มรายการบันเทิงอย่างละครได้นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ทางทีมงานต้องผ่านการศึกษาหาข้อมูลอย่างรอบด้าน ต้องผ่านการกลั่นกรองวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมทั้งต้องเผชิญกับความท้าทายจากทุกด้าน ยิ่งการทำรายการที่ต้องเล่นกับความลับ ล้อกับความอยากรู้อยากเห็นของคน ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก และในบทความนี้ เราได้นำ
บทสัมภาษณ์เจาะลึกทีมงานหลักทั้ง 4 คน ของรายการ The Mask Singer จาก
www.mangozero.com มาเปิดเผยให้ทุกคนได้เรียนรู้กันอย่างละเอียดถึงที่มาและที่ไปของความสำเร็จนี้
ตอนได้รับโจทย์ให้ดูแลรายการนี้ คุณเริ่มฟอร์มทีมอย่างไร
พี่ดาว : อย่างแรกสุดก็เรียกประชุมทีม creative รวมถึงฝ่าย production เรานั่งดูเทปรายการต้นแบบของเกาหลีนั้น ศึกษาวิธีการทำงาน รูปแบบรายการว่าเป็นอย่างไร จากนั้นก็มาคิดต่อยอดว่ารูปแบบของรายการที่เหมาะกับบ้านเราควรจะเป็นอย่างไร โดยไม่หลุดธีม ไม่หลุดไบเบิ้ลของเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งจากที่เราศึกษารายการ King of the Mask Singer ของเกาหลี ทำให้รู้ว่าการจะเลือกคนที่มาเป็นแขกรับเชิญมีอยู่ 2 แบบ คือ
ดาราที่ตกยุคไปแล้ว ซึ่งความน่าสนใจคือพอเปิดหน้ามามันจะมีเรื่องราวชวนดราม่า เช่น บางคนไม่เคยร้องเพลงมาก่อน แต่ซ้อมอย่างหนักเพื่อมาออกรายการนี้ บางคนเป็นดารารุ่นเก่าที่หายหน้าไปนานมาก โผล่มาปุ๊บคนก็คิดถึง มันทำให้เรารู้สึกว่า รายการนี้ส่งเสริมศิลปินรุ่นเก่าที่มีความสามารถให้กลับมาในวงการได้อีกครั้งหนึ่ง
และอีกประเภทคือ
ศิลปินเลือดใหม่ที่มีคนรู้จักเยอะ พอเปิดหน้ามา โอ้โห! สาวๆ แทบเคลิ้ม (หัวเราะ) บางคนไม่คิดว่าจะมาเวทีนี้ด้วย เรามองแล้ววิเคราะห์ออกมา highlight ของรายการนอกจากร้องเพลงแล้วก็คือตอนเฉลยนี่แหละ ซึ่งมันเป็นจุดสำคัญที่จะเอามาทำให้มันดี ดูยิ่งใหญ่ได้
ทีมงานมีหลักในการเลือกผู้เข้าแข่งขันหน้ากากนักร้อง จากอะไร?
พี่จอย : อย่างแรกสุด เราก็หาข้อมูลก่อนเลยว่า ดารา นักร้อง พิธีกร หรือคนในวงการบันเทิงคนไหนที่สามารถร้องเพลงเป็นและร้องได้หลากหลายแนว แล้วเขาชอบความท้าทายพร้อมสนุกไปกับเรา แต่ช่วงแรกมีหลายคนปฏิเสธเพราะเขาอาจจะมองว่าใส่หน้ากากแล้วร้องเพลงเหมือนโดนดิสเครดิต เขามีเอกลักษณ์แต่ใส่หน้ากากทับเอกลักษณ์เขา ยิ่งถอดหน้ากากมาเพราะแพ้ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองดูแย่ใหญ่เลย
พี่ดาว : การหาซุปตาร์ที่มาออกรายการต้องหลากหลายวงการ นักแสดง นักร้อง นักมวย นักกีฬา แต่ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียง และคนรู้จัก เปิดมาแล้วต้องว้าว! อย่างน้อยคน 70% ต้องรู้จัก
จุดเด่นของ The mask Singer ที่ทำให้คนชอบขนาดนี้ คืออะไร?
พี่ดาว : เราแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. ซุปตาร์ที่เชิญมาต้องร้องเพลงได้เพราะอย่างอลังการ 2. รายการมีความสนุก ตลก ตรงจริตคนไทย 3. ชุดกับหน้ากากต้องอลังการจนชวนให้พูดถึงในทุกเทป และสุดท้าย Production ต้องเล่นใหญ่ไปให้สุด ซึ่งทีมงานของเราทำได้น่าพอใจ
อะไรที่ทำให้ซุปตาร์ที่คุณชวน ยอมมาออกรายการนี้
พี่ดาว : เดิมทีที่เรามีแค่ 3 สายการแข่งขันในตอนแรกทั้งหมด 24 คน จริงๆ เราอยากได้ 4 สายหรือ 32 คน แต่เพราะว่าเราคนหาไม่พอนี่แหละช่วงแรกจึงมีแค่ 24 คน แต่พอเทปออกอากาศไปได้สักพักก็มีคนติดต่อกลับมาว่าอยากจะมาออกรายการนี้ เพราะเขาเห็นว่าทั้งศิลปิน คนดังเบอร์ใหญ่ เบอร์เล็กมากันหมดเลย คราวนี้มาให้เลือกเพียบเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร นั่นแปลว่ารายการน่าสนใจ และเขามองเห็นภาพชัดขึ้น
ข้อจำกัดอะไรบ้างที่เราต้องทำตามไบเบิ้ลของเจ้าของลิขสิทธิ์
พี่จอย : เรื่องใหญ่ที่ถูกกำชับมาคือเรื่องหน้ากาก ซึ่งเป็นหัวใจของรายการ หน้ากากต้องถูกออกแบบเพื่อให้ร้องเพลงได้ง่าย รองรับการร้องเพลงอย่างไรให้ไม่ติดขัด นี่คือข้อจำกัด นอกนั้นก็มันจะเป็นอิสระทางความคิดจะปรับให้เป็นสไตล์ของคนไทยได้
รายการนี้ลงทุนเยอะ ในฐานะผู้ดูแลคุณกังวลไหมในช่วงแรก
พี่ดาว : พี่ไม่กลัวเรื่องคนดูหรืออะไรก็แล้วแต่ เราไม่ได้กังวลมาก แต่สิ่งที่กลัวคือ ผู้บริหารที่นี่ (หัวเราะ) เราอยากรู้ว่าผู้บริหารจะดูรายการเราแล้วชอบไหม ดูรู้เรื่องไหม ถ้าเขาชอบนั่นแปลว่าเราโอเคกับสิ่งที่ทำแล้ว มันเป็นรายการที่ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ เป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยเห็นโดยเฉพาะคนใส่หน้ากากมาร้องเพลง
รายการมีกฎว่านักร้องในหน้ากากห้ามเจอกับนักดนตรีเพื่อซ้อมร่วมกัน แล้วคุณมีจัดวิธีการซ้อมยังไงให้โชว์ออกมาดี
พี่เนติ์ : มันมีขั้นตอนกระบวนการทำงานที่แปลกและยากกว่ารายการร้องเพลงอื่นตรงที่ นักร้องกับนักดนตรีจะไม่มีทางได้เจอหน้ากัน ไม่มีทางได้ซ้อมร่วมกันเลย เนื่องจากเราต้องปิดความลับให้มากที่สุด หลังจากที่เราได้ตัวนักร้องแล้ว ผมกับทีมส่วนหนึ่งจะไปคุยกับตัวหน้ากาก ลงดีเทลเรื่องหน้ากาก แล้วก็เรื่องเพลง แล้วให้เขาร้องเพลงให้ดู เพราะบางคนเขาอยากจะดัดเสียงร้องปกติของตัวเองเพื่อหลอกกรรมการ
The Mask Singer เป็นรายการบันเทิงรายการเดียวที่ล้มความนิยมของละครหลังข่าวลงได้ ซึ่งไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น
แม้แต่ทีมงานเองก็ยัง “ ไม่คิดฝันว่าจะทำได้ ”
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก :
www.mangozero.com
www.youtube.com/user/WorkpointOfficial
http://positioningmag.com